
เรียนรู้ รำลึก “สงคราม”
“สงคราม” มักทิ้งร่องรอยแห่งความโหดร้ายไว้เสมอ ไม่ว่าจะชนชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์อะไร เมื่อคุณเผชิญหน้ากับคำว่า “สงคราม” อะไรก็ตามที่เราเคยเชื่อและประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของเรากลับไม่มีค่าอะไรเลย มาเรียนรู้ รำลึก เกี่ยวกับส่วนหนึ่ง “สงคราม” ที่ ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด กาญจนบุรี ภายในศูนย์มีการลำดับเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่กองทัพญี่ปุ่นได้จับเชลยศึกชาวออสเตรเลียและเชลยศึกชาติอื่น ๆ มาก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ โดยการก่อนสร้างนั้นดำเนินไปทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ได้หยุด เชลยศึกทุกคนต้องปีนลงไปสกัดเขาให้เป็นช่อง เพื่อให้ทางรถไฟผ่านไปได้ และในช่องเขาที่ขาดนั่นเองที่แสงไฟจากคบเพลิงไม่เคยดับ เห็นแสงสว่างวาบตลอดเวลา ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น ช่องไฟนรก หรือ Hellfire Pass นั่นเอง ซึ่งระหว่างการก่อสร้างนั้น ในแคมป์ขาดการดูแลทั้งด้านอาหาร สุขอนามัย และโรคระบาด ความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น นิทรรศการนี้จะเปิดเผยเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นให้เราได้เข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของเชลยเหล่านั้น แม้ว่าช่วงเวลาแห่ง “สงคราม” ดังกล่าว ได้จางหายไปนานแล้ว แต่ความเจ็บปวด ความโหดร้ายและเสียงเพรียกจากอดีตผ่านนิทรรศการดังกล่าวทำให้เราสะท้อนและสะเทือนใจ พร้อมกับหวนคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะพยายามหลีกหนีจากคำว่า “สงคราม” ไปให้ไกลที่สุด
“สงคราม” มักทิ้งร่องรอยแห่งความโหดร้ายไว้เสมอ ไม่ว่าจะชนชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์อะไร เมื่อคุณเผชิญหน้ากับคำว่า “สงคราม” อะไรก็ตามที่เราเคยเชื่อและประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของเรากลับไม่มีค่าอะไรเลย
มาเรียนรู้ รำลึก เกี่ยวกับส่วนหนึ่ง “สงคราม” ที่ ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด กาญจนบุรี ภายในศูนย์มีการลำดับเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่กองทัพญี่ปุ่นได้จับเชลยศึกชาวออสเตรเลียและเชลยศึกชาติอื่น ๆ มาก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ โดยการก่อนสร้างนั้นดำเนินไปทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ได้หยุด เชลยศึกทุกคนต้องปีนลงไปสกัดเขาให้เป็นช่อง เพื่อให้ทางรถไฟผ่านไปได้ และในช่องเขาที่ขาดนั่นเองที่แสงไฟจากคบเพลิงไม่เคยดับ เห็นแสงสว่างวาบตลอดเวลา ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น ช่องไฟนรก หรือ Hellfire Pass นั่นเอง ซึ่งระหว่างการก่อสร้างนั้น ในแคมป์ขาดการดูแลทั้งด้านอาหาร สุขอนามัย และโรคระบาด ความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น นิทรรศการนี้จะเปิดเผยเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นให้เราได้เข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของเชลยเหล่านั้น
แม้ว่าช่วงเวลาแห่ง “สงคราม” ดังกล่าว ได้จางหายไปนานแล้ว แต่ความเจ็บปวด ความโหดร้ายและเสียงเพรียกจากอดีตผ่านนิทรรศการดังกล่าวทำให้เราสะท้อนและสะเทือนใจ พร้อมกับหวนคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะพยายามหลีกหนีจากคำว่า “สงคราม” ไปให้ไกลที่สุด




