GDP (Y) = C + 1 + G + NX From Theory to the Real World

GDP (Y) = C + 1 + G + NX From Theory to the Real World

GDP คืออะไรและมีส่วนประกอบอะไรบ้าง เราจะมาอธิบายถึงความหมาย ส่วนประกอบของ GDP เพื่อจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจในอนาคตต่อไป GDP (Y) From Theory to the Real World โดย คุณทักษอร พรถาวร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานภาคเหนือ ธนาคารแห่งประเทศไทศไทย สำนักงานภาคเหนือ GDP ย่อมาจากคำว่า Gross Domestic Product คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ คำนวณมาจากมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้น GDP เป็นมูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ ถ้าตัวเลข GDP ของไทยสูงขึ้น แปลว่ามีรายได้เกิดขึ้นในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งอาจมาจากการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ภาครัฐมีการลงทุนโครงการต่าง ๆ รวมถึงมีนักท่องเที่ยวมาใช้เงินในประเทศเรามากขึ้น เป็นต้น           สำหรับการคำนวณ GDP จะนับเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น อย่างถ้าเป็น GDP ประเทศไทย ก็จะนับเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทย […]

GDP คืออะไรและมีส่วนประกอบอะไรบ้าง

เราจะมาอธิบายถึงความหมาย ส่วนประกอบของ GDP เพื่อจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจในอนาคตต่อไป

GDP (Y) From Theory to the Real World

โดย คุณทักษอร พรถาวร

ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานภาคเหนือ

ธนาคารแห่งประเทศไทศไทย สำนักงานภาคเหนือ

GDP ย่อมาจากคำว่า Gross Domestic Product คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ คำนวณมาจากมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้น GDP เป็นมูลค่าเศรษฐกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ ถ้าตัวเลข GDP ของไทยสูงขึ้น แปลว่ามีรายได้เกิดขึ้นในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งอาจมาจากการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ภาครัฐมีการลงทุนโครงการต่าง ๆ รวมถึงมีนักท่องเที่ยวมาใช้เงินในประเทศเรามากขึ้น เป็นต้น

          สำหรับการคำนวณ GDP จะนับเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น อย่างถ้าเป็น GDP ประเทศไทย ก็จะนับเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในไทย โดยไม่เกี่ยวว่ามาจากคนสัญชาติไหน แต่ถ้าเป็นคนไทยไปมีรายได้ที่ต่างประเทศ จะไม่ถูกนับรวมใน GDP ของไทย

 สูตร GDP

                                 GDP = C + I + G + (X – M)

GDP มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในระบบเศรษฐกิจต้องมีการหมุนเวียนของรายได้และรายจ่ายของภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภาครัฐทั้งในประเทศและต่างประเทศ นั่นแปลว่า ประชาชนมีงานทำ และมีรายได้เพื่อนำมาจับจ่ายใช้สอยสำหรับซื้อสินค้าและบริการ จ่ายภาษีให้รัฐบาล และหากมีเงินเหลือ (ซึ่งก็คือเงินออม) ก็สามารถนำเงินไปออมในสถาบันการเงินหรือลงทุนในธุรกิจ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมต่างๆ 

GDP กับประเทศไทยเป็นอย่างไร ?

ถ้าหันมามองในประเทศไทย ปัจจุบันการเก็บข้อมูลหลัก ๆ นั้นมาจากข้อมูลของสรรพากรเท่านั้น หรือการเรียกเก็บภาษีจากธุรกรรมต่าง ๆ ระบบภาษีในไทยยังเก็บได้ไม่ทั่วถึงสักเท่าไหร่ อาทิธุรกรรมเงินสดต่าง ๆ ยังไม่มีการตรวจสอบแน่นอน ทำให้มูลค่าการซื้อเหล่านี้ไม่ได้ถูกมาคำนวณรวม

เชื่อว่าในอนาคตก็จะมีการพัฒนาระบบการเก็บภาษีไปมากขึ้นเรื่อย ๆ และข้อมูลของ GDP ก็จะสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ต้องรอดูต่อไปว่าประเทศเราจะมีวิวัฒนาการการเก็บภาษีเป็นอย่างไรบ้าง ปัญหาอยู่ที่ว่านักการเมืองหรือผู้มีอำนาจในบ้านเราจะเอาภาษีของเราไปใช้กับอะไรมากกว่า

C From Theory to the Real World

โดย คุณรัชกร ปิยะสัจบูลย์

รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่

C = Consumption คือ การบริโภคของภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป

เป็นมูลค่าที่เกิดจากการจับจ่ายใช้สอยทั่วไปที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ซื้ออาหาร ช้อปปิ้งสินค้า ใช้บริการที่โรงพยาบาลจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ เป็นต้น

I From Theory to the Real World

โดย ดร.อสมา เหลี่ยมมุกดา

นักเศรษฐศาสตร์

Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

I = Investment คือ มูลค่าการลงทุนจากภาคเอกชนในสินค้าทุน เช่น การก่อสร้างเหมืองแร่ใหม่ การซื้อซอฟต์แวร์ การซื้ออุปกรณ์เครื่องจักรสำหรับโรงงาน เป็นต้น การใช้จ่ายโดยครัวเรือนเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่รวมไว้ในการลงทุนเช่นกัน แต่ การซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น การซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นกู้ ไม่จัดว่าเป็นการลงทุนแต่เป็นการออม (Saving) จึงไม่รวมใน GDP เพราะเป็นเพียงการสับเปลี่ยนเอกสารทางกฎหมายเท่านั้น ซึ่งเงินนั้นไม่ได้ถูกแปลงให้เป็นสินค้าหรือบริการ จึงไม่เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจที่แท้จริง และจัดให้เป็นรายจ่ายประเภทเงินโอน (Transfer Payment)

G From Theory to the Real World

โดย คุณศิริกัญญา ตันสกุล

สมาชิกผู้แทนราษฎรไทย บัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคก้าวไกล และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกล

G = Government Spending คือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐบาลที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย ซึ่งรวมถึงเงินเดือนของข้าราชการ การซื้ออาวุธทางทหาร และค่าใช้จ่ายลงทุนของรัฐ แต่ไม่รวมรายจ่ายประเภทเงินโอนอย่างเช่น สวัสดิการสังคมหรือผลประโยชน์จากการว่างงาน

NX From Theory to the Real World

โดย คุณดุษณีญา อินทนุพัฒน์

สำนักยุโรป กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

X หรือ Export คือ มูลค่าการส่งออก

M หรือ Import คือ มูลค่าการนำเข้า

X-M = Net Export คือ มูลค่าการส่งออกสินค้าสุทธิ

คำนวณจากมูลค่าการส่งออกลบด้วยมูลค่าการนำเข้า ถ้าการส่งออกมากกว่า ก็จะส่งผลดีต่อตัวเลขการเติบโตของ GDP

อย่างไรก็ตาม แม้การใช้ GDP วัดขนาดเศรษฐกิจ

หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การวัดแบบนี้ จะ Perfect ในทุกด้าน

แล้วอะไร ที่เป็นจุดอ่อนของการวัดเศรษฐกิจ ด้วย GDP

1. GDP ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม

GDP เป็นการรวมรายได้ของทุกคนในประเทศ โดยไม่ได้สนใจว่า ใครมีรายได้มากน้อยแค่ไหน

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ กรณีของประเทศไทย ที่มีมูลค่า GDP ประมาณ 16 ล้านล้านบาท ในปี 2019

ซึ่งมูลค่าประมาณ 48% จาก 16 ล้านล้านบาทนั้น กระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

และถ้ายิ่งเจาะไปที่ 10 ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกันกว่า 3.3 ล้านล้านบาท

ก็จะคิดเป็นประมาณ 1 ใน 5 ของมูลค่า GDP ทั้งประเทศไทยได้เลย

2. GDP ไม่ได้คำนึงถึงเรื่อง คุณภาพของสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่เสื่อมโทรม

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในประเด็นนี้ คือ อินเดีย และจีน 2 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 และ 6 ของโลก

โดยจีนมีมูลค่า GDP กว่า 444 ล้านล้านบาท ขณะที่อินเดียมีมูลค่า GDP กว่า 78 ล้านล้านบาท

ในช่วงระหว่างปี 2000-2019จีนมี GDP เติบโตปีละ 9% ขณะที่อินเดียมี GDP เติบโตปีละ 6.5%

ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก

แต่รู้หรือไม่ว่า ทั้งจีนและอินเดียคือ ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 และ 3 ของโลก

ปริมาณที่เพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เพียงแต่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น แต่ยังกระทบต่อระบบนิเวศ

ผลผลิตทางการเกษตร และสุขภาพของประชากรในประเทศอีกด้วย

3. GDP ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความสุขทางจิตใจ ของคนในประเทศ

กรณีศึกษาของประเด็นนี้ คือ ประเทศญี่ปุ่น

เป็นประเทศที่มีมูลค่า GDP กว่า 147 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก

รายได้เฉลี่ยของคนญี่ปุ่นอยู่ที่คนละประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อปี ทำให้ญี่ปุ่นถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ประชากรมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ

แต่รู้ไหมว่า ในปี 2017 ญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงมากเป็นอันดับที่ 7 ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และปัญหาดังกล่าวก็ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน

เฉพาะแค่เดือนตุลาคมปี 2020 ญี่ปุ่นมีจำนวนคนที่ฆ่าตัวตาย มากถึง 2,153 คน ซึ่งแทบไม่ต่างจากจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดของญี่ปุ่นจากโควิด 19

เราจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ GDP ยังเป็นตัวชี้วัดการเติบโตเศรษฐกิจ และฐานะความเป็นอยู่ของประชากรแต่ละประเทศได้ดีกว่าตัวชี้วัดอีกหลายตัว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า GDP ยังมี “จุดอ่อน” ในการนำมาใช้งาน เช่นกัน

การนำ GDP มาใช้เป็นเกณฑ์เพื่อพัฒนาประเทศเพียงมิติเดียวอาจจะมีมุมมองด้านอื่นที่เราอาจลืมนึกถึงไป

ถ้าให้เปรียบประเทศเป็นครอบครัวคงเปรียบได้กับการใช้ตัววัดคือ “รายได้ของครอบครัว”

ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านเนื้อหาบทความนี้จนจบค่ะ

งานเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา Macroeconomic Theory II (751309)

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เขียนโดย พัชราภรณ์ ผ่องใส

นักศึกษาปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อ้างอิงรูปภาพ : https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/grow-your-wealth/why-we-must-know-gdp.html?value=partnership-

อ้างอิงข้อมูล :

https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/333-investhow-gdp

https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/grow-your-wealth/why-we-must-know-gdp.html?value=partnership-

https://www.moneybuffalo.in.th/vocabulary/what-is-gdp

https://www.longtunman.com/26852

None