
เมื่อพวกเราไม่ใช่ธานอสที่แค่ดีดนิ้วก็เปลี่ยนโลกได้ แต่การออกไป ‘เลือกตั้ง’ ก็ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน และพวกเราสามารถทำได้เลย
Thinkster พาทุกคนมาทำความรู้จัก ‘เฟิร์น’ ญาณิศา ธีรเดชธำรงค์กุล แม่ค้าออนไลน์ สถาปนิกฟรีแลนซ์ และเจ้าของผลงาน FOR BIG CHANGE หนึ่งในผู้ชนะจาก Creative Brief ‘HEAR MY VOICE’ ที่ไม่ได้ชวนทุกคนมาดีดนิ้วเปลี่ยนโลก แต่อยากให้ทุกคนไปจับปากกา เข้าคูหา เลือกเพื่อเปลี่ยนสังคม “พอเห็น Creative Brief ภาพในหัวนึกถึงการดีดนิ้วของธานอสทันที แม้ว่าในหนังจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้ แต่ในจังหวะนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้มันคือ ‘FOR BIG CHANGE’ “การเลือกตั้งไม่ใช่แค่เรื่องของคนรุ่นเราๆ แต่เป็นเรื่องของทุกคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เสียงของพวกเราเป็นสิ่งที่สำคัญ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่” เฟิร์นเล่าให้ฟังว่ามีเวลาแค่ 3 วัน แต่เธอเชื่อมั่นว่าตนเองจะทำทัน ด้วยความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลง นอกจากการออกไปเลือกตั้งที่ตนเองทำได้เพื่อเปลี่ยนสังคมที่เป็นอยู่ ก็ยังอยากทำอะไรบางอย่างที่เป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆ ไปถึงคนอื่นในสังคมให้ออกมาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไปพร้อมกัน “รู้สึกดีใจมากที่ผลงานตัวเองได้ไปติดรณรงค์ให้คนอื่นๆ ออกไปเลือกตั้ง จังหวะนี้มันถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว และสิ่งที่ประชาชนอย่างพวกเราทำได้เลย ทำได้ทันที คือ ‘การเลือกตั้ง’ มันเป็นหน้าที่ที่เราควรต้องทำ ถ้าเราไม่รักษาสิทธิ์ ไม่ออกไปใช้เสียงตัวเอง […]
Thinkster พาทุกคนมาทำความรู้จัก ‘เฟิร์น’ ญาณิศา ธีรเดชธำรงค์กุล แม่ค้าออนไลน์ สถาปนิกฟรีแลนซ์ และเจ้าของผลงาน FOR BIG CHANGE หนึ่งในผู้ชนะจาก Creative Brief ‘HEAR MY VOICE’ ที่ไม่ได้ชวนทุกคนมาดีดนิ้วเปลี่ยนโลก แต่อยากให้ทุกคนไปจับปากกา เข้าคูหา เลือกเพื่อเปลี่ยนสังคม
“พอเห็น Creative Brief ภาพในหัวนึกถึงการดีดนิ้วของธานอสทันที แม้ว่าในหนังจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้ แต่ในจังหวะนี้ การเลือกตั้งครั้งนี้มันคือ ‘FOR BIG CHANGE’
“การเลือกตั้งไม่ใช่แค่เรื่องของคนรุ่นเราๆ แต่เป็นเรื่องของทุกคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เสียงของพวกเราเป็นสิ่งที่สำคัญ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่”
เฟิร์นเล่าให้ฟังว่ามีเวลาแค่ 3 วัน แต่เธอเชื่อมั่นว่าตนเองจะทำทัน ด้วยความรู้สึกลึกๆ มันบอกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนแปลง นอกจากการออกไปเลือกตั้งที่ตนเองทำได้เพื่อเปลี่ยนสังคมที่เป็นอยู่ ก็ยังอยากทำอะไรบางอย่างที่เป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆ ไปถึงคนอื่นในสังคมให้ออกมาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไปพร้อมกัน
“รู้สึกดีใจมากที่ผลงานตัวเองได้ไปติดรณรงค์ให้คนอื่นๆ ออกไปเลือกตั้ง จังหวะนี้มันถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว และสิ่งที่ประชาชนอย่างพวกเราทำได้เลย ทำได้ทันที คือ ‘การเลือกตั้ง’ มันเป็นหน้าที่ที่เราควรต้องทำ ถ้าเราไม่รักษาสิทธิ์ ไม่ออกไปใช้เสียงตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าเสียงเสียงหนึ่งของเราอาจจะถูกสวมสิทธิ์จากใครไม่รู้ก็ได้…จริงไหมคะ”
นอกจากผลงานที่โดดเด่นจนเป็นหนึ่งในผู้ชนะจาก Creative Brief ครั้งนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในตัวนักสร้างสรรค์คนนี้ นั่นคือ การละทิ้งชีวิตสถาปนิกแล้วเลือกทำธุรกิจออนไลน์แทน
“สิ่งหนึ่งที่เลือกที่จะขายของออนไลน์ต่อก็เพราะเรื่อง ‘ค่าแรง’ ค่ะ”
สั้นๆ แต่ได้ใจความและตรงไปตรงมา
เฟิร์นเล่าให้ฟังว่าเธอเริ่มทำธุรกิจขายแคคตัส (ต้นกระบองเพชร) ออนไลน์มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แคคตัสเป็นอีกสิ่งที่เธอหลงใหล และตนเองเองก็ไม่ได้เป็นแค่คนขายแต่เป็นนักสะสมแคคตัสด้วย
เมื่อชีวิตเดินทางมาถึงบทใหม่ที่เธอต้องละทิ้งสถานะนักศึกษาสู่ชีวิตวัยทำงานเต็มตัว ประจวบเหมาะกับสถานการณ์ภาวะโรคระบาดโควิด-19 ที่รุนแรงในประเทศไทย ณ ขณะนั้นส่งผลกระทบกับคนทั้งโลก เฟิร์นจึงตัดสินใจเดินหน้าเป็นแม่ค้าออนไลนต่อและพักงานสถาปนิกเอาไว้ก่อน
เฟิร์นเล่าต่อว่า หลายคนอาจมองว่าสถาปนิกเป็นอาชีพที่มีรายได้และค่าตอบแทนสูง แต่อาชีพนี้ก็ประสบปัญหาเรื่องค่าแรงไม่ต่างจากอาชีพอื่น งานก็กระจุกอยู่แต่ในย่านตัวเมือง การเดินทางด้วยระบบโดยสารสาธารณะก็ยังไม่ตอบโจทย์สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องเดินทางจากบ้าน (ที่อยู่นอกเมือง) ไปทำงาน…นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งจะมี แต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่มีอยู่ในสังคมไทยมานานหลายปีแล้ว
สุดท้าย เฟิร์นบอกกับ Thinkster ว่า ถ้าวันหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ดีขึ้น ก็อาจกลับไปทำงานเป็นสถาปนิกเต็มที่ก็ได้ สิ่งที่เธอและหลายๆ คนต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการเลือกตั้งก็คงเหมือนๆ กัน ไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ เพียงแค่เรื่องปากท้องและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง แต่สำหรับเฟิร์นคำว่า ‘คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น’ ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ชีวิตของมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น แต่เธออยากให้เหล่าบรรดาสัตว์ต่างๆ ดีขึ้นด้วยเช่นกัน