
The Economy of Japan: How a superpower fell from grace in four decades
‘ทศวรรษที่สาบสูญของญี่ปุ่น’ (Japan’s Lost Decade) เริ่มต้นจากปี 1990 หลังจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นของญี่ปุ่นแตก ส่งผลให้อัตราการเติบโต GDP ที่แท้จริงต่อปีของญี่ปุ่น ช่วงปี 1995-2002 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.2% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่สำคัญของโลก
ช่วงปี 1980-1989 เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นำโดยการเติบโตของธุรกิจผลิตและส่งออกรถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็ว ธนาคารต่างๆ ในญี่ปุ่นจึงปล่อยกู้เพื่อการทำธุรกิจมากขึ้น มีการผ่อนคลายเงื่อนไขต่างๆ ในการปล่อยกู้ ส่งผลให้มีเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น ระดับราคาสินค้า รวมถึงสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน ราคาบ้าน และราคาหุ้นในตลาดหุ้นของญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นมาก ท้ายที่สุดก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง และภาวะฟองสบู่ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้เล็งเห็นถึงอันตรายอันใหญ่หลวงของภาวะฟองสบู่ดังกล่าว จึงทำการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อชะลอภาวะฟองสบู่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นก็ไม่สามารถหลีกหนีฟองสบู่แตกได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น และราคาที่ดินปรับตัวลดลงอย่างมาก จากนั้นประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
การเก็งกำไรอย่างมากในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้สุดท้ายธนาคารกลางของญี่ปุ่นต้องหยุดความร้อนแรงด้วยการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตั้งแต่ปลายปี 1989-1990 จนทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นจาก 2.5% มาอยู่ที่ 6% สิ่งนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรงในปี 1990 ตามมาด้วยราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงอย่างรวดเร็วในปี 1991 หลายบริษัทที่กู้ยืมเงินด้วยต้นทุนที่ถูกมาก่อนหน้านี้มีภาระหนี้สูงขึ้น ทำให้บางบริษัทต้องปิดตัวลง ขณะที่เศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้ภาคธนาคารมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก
สิ่งที่หายไปคือการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วต่างๆ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับไม่เติบโตเท่าที่ควร โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นชะลอตัวยาวนานคือ ราคาทรัพย์สินที่ลดลง หลังจากภาวะฟองสบู่แตก โดยเฉพาะมูลค่าอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงอย่างมาก ทำให้ความมั่งคั่งโดยรวมของประชากรญี่ปุ่นลดลง นอกจากนี้ยังมีปัจัยเสริม เช่น ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ทิ้งช่วงเวลานานมาก ก่อนที่จะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และยังมีเรื่องค่าเงินเยนที่แข็งค่าต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้การส่งออกญี่ปุ่นชะลอตัว
นักเศรษฐศาสตร์หลายคน รวมถึง Paul Krugman มองว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของญี่ปุ่นเกิดขึ้นเนื่องจากการตกอยู่ในกับดักสภาพคล่อง ซึ่งหมายความว่าการดำเนินนโยบายการเงินอย่างการลดอัตราดอกเบี้ยกลายเป็นเครื่องมือที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยจะเห็นจากการลงทุนภาคเอกชนไม่เติบโต แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะต่ำมากก็ตาม ทำให้แทบไม่เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ในญี่ปุ่น
นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์อีกหลายคนยังมองว่ามีเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ทศวรรษที่สาบสูญ ได้แก่ โครงสร้างจำนวนประชากรสูงอายุของญี่ปุ่น ขณะที่จำนวนคนรุ่นใหม่ลดน้อยลง ส่งผลให้ประชากรวัยทำงานลดน้อยลง เนื่องจากผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะบริโภคน้อยกว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า สิ่งนี้ทำให้ตลาดผู้บริโภคในประเทศหดตัวลง การแข็งค่าอย่างมากของเงินเยน ทำให้ผู้ผลิตในญี่ปุ่นจำนวนมากย้ายฐานไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชีย และประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการคลังที่ลดลง
สิ่งเหล่านี้นับเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มเติมจากปัญหาอื่นๆ เช่น การจัดสรรเงินให้กับรัฐบาลท้องถิ่นมากไป และหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนของ Basel ที่ทำให้ธนาคารญี่ปุ่นลังเลที่จะให้กู้ยืมเงินแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพและ SMEs ทำให้นวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่นถดถอย
โดยระหว่างปี 1995-2007 ที่ GDP ของญี่ปุ่นได้ลดลงอย่างมหาศาล จาก 5.33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 4.36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่ากับลดลง 18.20% ในขณะเดียวกันอัตราค่าแรงงานที่แท้จริง (Real Wage) ก็ลดลง 5% ซึ่งส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศลดลง และสุดท้ายทุกอย่างมาจบลงที่ภาวะเงินฝืดของญี่ปุ่น ที่เรื้อรังมาเป็นเวลา 20 ปี ซึ่งภาวะเงินฝืดเกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประชากรมีรายได้ลดลง การจับจ่ายใช้สอยก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ที่มียอดขายลดลง จำเป็นต้องไล่พนักงานออก และปรับราคาสินค้าลง (Sony และ Toyota ลดพนักงานประจำลงถึง 1 ใน 3 และหันมาจ้างพนักงงาน Part Time แทน) เมื่อประชากรเล็งเห็นว่าระดับราคาสินค้ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลงในอนาคต ประชากรญี่ปุ่นก็ยิ่งเลือกที่จะเก็บออมมากขึ้น และลดการจับจ่ายใช้สอย เพราะคิดว่าสิ่งของต่างๆ อาจมีราคาถูกลงไปอีกก็เป็นได้ ซึ่งการลดลงของการบริโภคเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่เติบโตเสียที นี่คือวงจรของภาวะเงินฝืดที่อยู่คู่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมานานนับ 20 ปี หรือที่เรียกว่า “The Downward Spiral of Deflation”
สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าทำให้ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกของญี่ปุ่นลดลง และโดนจีนแซงขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกไปเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่า ในตอนนี้ญี่ปุ่นก็ยังเป็นประเทศพัฒนาอันดับต้นๆ ของโลก ประเทศนี้เต็มไปด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ สามารถเทียบเคียงประเทศพัฒนาแล้วทางฝั่งตะวันตกได้อย่างสบาย แต่ก็น่าจะมีคนญี่ปุ่นหลายคนที่ยังแอบมีความหวังอยู่เล็กๆ ว่าสักวันหนึ่ง ประเทศญี่ปุ่นจะกลับมาเติบโตได้เหมือนในอดีต เหมือนที่เขาเจอมาในวัยเด็ก แต่เมื่อดูข้อเท็จจริงแล้ว มันก็แทบจะเป็นความหวังที่ริบหรี่ลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไปในแต่ละทศวรรษ
งานเขียนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 751309 Macro Economic 2 ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร. ณพล หงสกุลวสุ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานชิ้นนี้ เขียนโดย นางสาวศศิวิมล โลหะตระกูล 651610423