FTX and Sam Bankman-Fried

FTX and Sam Bankman-Fried

FTX and Sam Bankman-Fried ประวัติของแซมในช่วงที่เข้าสู่วงการคริปโต หลังจากเรียนจบปริญญา แซมได้ทำงานเป็นเทรดเดอร์ ETF ให้กับบริษัท Jane Street Capital เป็นเวลา 3 ปีเมื่อปี 2017  Bitcoin มูลค่าได้เพิ่มสูงขึ้นจาก 2,500$ ต่อ 1 บิตคอยน์ มาเป็น 20,000$ ในเวลา 6 เดือน โดยแซมเขาเข้าวงการคริปโตในฐานะเทรดเดอร์มาก่อนเลยทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญต่างๆ ซึ่งในช่วงนั้นปี 2017 ตลาดคริปโตกำลังเป็นตลาดขาขึ้นคนทั่วโลกกำลังรู้จัก Bitcoin ซึ่งแซมเขามีประสบการณ์จาก Jane Street Capital เขาจึงได้นำประสบการณ์เหล่านี้มาใช้ในการเทรด เขาพบช่องโหว่ในการทำกำไรช่องโหว่นี้คือการที่เหรียญแต่ละที่ราคามันไม่เท่ากันโดยเขาได้ทำการซื้อ Bitcoin ในสหรัฐฯ และขายเพื่อทำกำไรได้ไม่น้อยกว่า 30% ในญี่ปุ่น และในปี ในปี 2017 นี้เองในช่วงเดือนกันยายน แซมออกจาก Jane Street Capital ในปี 2017 ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เขาได้ก่อตั้งบริษัทเป็นของตัวเองในชื่อ […]

FTX and Sam Bankman-Fried

ประวัติของแซมในช่วงที่เข้าสู่วงการคริปโต หลังจากเรียนจบปริญญา แซมได้ทำงานเป็นเทรดเดอร์ ETF ให้กับบริษัท Jane Street Capital เป็นเวลา 3 ปีเมื่อปี 2017  Bitcoin มูลค่าได้เพิ่มสูงขึ้นจาก 2,500$ ต่อ 1 บิตคอยน์ มาเป็น 20,000$ ในเวลา 6 เดือน โดยแซมเขาเข้าวงการคริปโตในฐานะเทรดเดอร์มาก่อนเลยทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญต่างๆ ซึ่งในช่วงนั้นปี 2017 ตลาดคริปโตกำลังเป็นตลาดขาขึ้นคนทั่วโลกกำลังรู้จัก Bitcoin ซึ่งแซมเขามีประสบการณ์จาก Jane Street Capital เขาจึงได้นำประสบการณ์เหล่านี้มาใช้ในการเทรด เขาพบช่องโหว่ในการทำกำไรช่องโหว่นี้คือการที่เหรียญแต่ละที่ราคามันไม่เท่ากันโดยเขาได้ทำการซื้อ Bitcoin ในสหรัฐฯ และขายเพื่อทำกำไรได้ไม่น้อยกว่า 30% ในญี่ปุ่น

และในปี ในปี 2017 นี้เองในช่วงเดือนกันยายน แซมออกจาก Jane Street Capital

ในปี 2017 ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เขาได้ก่อตั้งบริษัทเป็นของตัวเองในชื่อ Alameda Research ที่ฮ่องกง

ในปี 2019 แซมเปิดตัว FTX และเติบโตจนเป็นหนึ่งในบริษัทแลกเปลี่ยนชั้นนำสำหรับการซื้อและขายคริปโป

ในช่วงต้นปี 2022 นักลงทุนให้ความสำคัญกับ FTX และการดำเนินงานในสหรัฐฯ ที่รวมกัน 4 หมื่นล้านดอลลาร์

ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของเขาซึ่งสูงถึงประมาณ 26.5 พันล้านดอลลาร์นั้นผูกติดอยู่กับการเป็นเจ้าของ FTX ประมาณครึ่งหนึ่งและส่วนแบ่งของโทเค็น FTT

 เหตุที่ทำให้FTXของแซมล้มละลาย

ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2022  มีเว็บไซต์เกี่ยวกับการซื้อขายเหรียญคริปโตชื่อ Coindesk โพสต์ถึงเอกสารภายในที่หลุดออกมาของบริษัท Alameda ที่เป็นบริษัทรับเทรดเหรียญคริปโตภายใต้การดูแลของแซม ซึ่งเอกสารนี้เป็นเหมือนตัวจุดฉนวนทั้งหมดของเรื่องซึ่งในเอกสารมีการกล่าวว่าบริษัท Alameda และ FTX เป็นบริษัทที่มีเจ้าของคนเดียวกันคือแซนแต่บริษัททั้งสองนั้นเป็นบริษัทแยกออกจากกันและเอกสารมีบอกข้อมูลมูลค่าของบริษัท Alameda ที่สูงถึง 14,600 ล้านเหรียญซึ่งเหรียญส่วนใหญ่คือเหรียญ FTT ที่สร้างขึ้นโดยบริษัท FTXพูดอีกอย่างคือ FTX พิมพ์เงินของตัวเองในรูปแบบเหรียญ FTT ให้กับ Alameda เพื่อเป็นหลักประกันให้บริษัทไปกู้เงินและเติบโตไปเรื่อยๆหลังจากนั้นไม่นาน บริษัทคู่แข่งอย่าง Binance ซึ่งทราบเหตุการ์ณดังกว่าก็ออกมาขายเหรียญ FTT มูลค่า 580 ล้านเหรียญที่Binanceได้มีการซื้อทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เองทำให้นักลงทุนทั้งหลายเกิดความกังวลและแห่ขายเหรียญตามBinance ซึ่งตอนนี้เองที่ปัญหาเกิดขึ้นกับFTX เพราะว่า FTX ไม่มีเงินสดมารองรับการถอนจากนักลงทุนเมื่อมีคนแห่ขายเหรียญFTTมากขึ้นเรื่อยก็ลงผลให้มูลค่าของ FTT มีค่าต่ำลงเมื่อ FTT มีมูลค่าต่ำลงก็ไปฉุดทำให้เหรียญในตลาดบางเหรียญมูลค่าต่ำลงไปด้วยFTX เลยเจอกับปัญหาสภาพคล่องครั้งใหญ่และก็เหมือนกับว่าจะได้รับการช่วยเหลือเมื่อ Binance  มีแผนที่จะเข้าไปซื้อกิจการของ FTX แต่หลังจากที่ Binance ได้ตรวจสอบบัญชีของ FTX ก็ขอถอนตัวเพราะปัญหาของ FTX ยากเกินกว่าที่และจะสามารถช่วยได้วันที่ 11 พฤศจิกายน 2022 FTX และ Alameda ก็ยื่นล้มละลาย แซมลงจากตำแหน่งซีอีโอของบริษัทหลังจากนั้น FTX ก็ว่าจ้างจอห์น เรย์ มาบริหาร FTX ต่อ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการฟื้นฟูกิจการและเคยเข้าไปจัดการปัญหาของบริษัท Enron ที่ล้มละลายในปี 2001 มาแล้ว (ซึ่งถือว่าเป็นการล้มละลายขององค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา) แต่หลังจากที่เข้าไปทำงานได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ จอห์นก็ออกมายอมรับว่าปัญหาภายในของบริษัทนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน โดยบอกว่า

“ไม่เคยเลยในอาชีพของผมที่จะเห็นการจัดการองค์กรที่ล้มเหลวได้ขนาดนี้และไม่มีข้อมูลการเงินที่เชื่อถือได้เลย” และนี่คือสิ่งที่เขาพบเจอ

พนักงานขอเบิกเงินผ่านแชต โดยผู้อนุมัติใช้ emoji

การใช้แชตเพื่อส่งเอกสารซึ่งหมดอายุก็ตามเอกสารไม่ได้

Alameda ให้แซมกู้เงิน 1,000 ล้านเหรียญ

เงินทุนของบริษัทนำไปใช้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินส่วนตัวอื่นๆ ให้กับผู้บริหารและที่ปรึกษาบางคน

ไม่เคยมีประชุมบอร์ด

ไม่มีระบบบริหารเงินสดส่วนกลาง

ไม่มีรายชื่อพนักงานทั้งหมด พนักงานปนกันมั่วไปหมดในบริษัทย่อย

เงินคริปโตของลูกค้าไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในบัญชีงบดุล แต่ถูกเก็บไว้ในบัญชีคริปโตอันเดียว ใครจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ได้

คนจัดการเงินมีแค่แซมและผู้ร่วมก่อตั้งอีกคน

เรื่องเหล่านี้เป็นแค่สิ่งที่พบเจอภายในแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น และเชื่อว่าภายใต้พื้นผิวนี้ยังมีอะไรที่จอห์นต้องจัดการอีกเยอะมากๆ และมีความเป็นไปได้ว่าแซมจะถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงหลังจากที่ FTX ล้ม บริษัทคริปโตอื่นๆ ก็เริ่มเป็นกังวลและเป็นห่วงว่าลูกค้าจะมารวมตัวกันถอนเงินออก โดยมีบางส่วน (อย่าง Genesis, Zipup) ที่ตั้งหยุดการถอนเอาไว้ก่อนและกลายเป็นประเด็นที่ลูกค้าหลายคนไม่พอใจ BlockFi แพลตฟอร์มที่ให้บริการการกู้ยืมคริปโต ก็ยื่นล้มละลายในเวลาต่อมาเพราะมีสินทรัพย์ค้างอยู่ในแพลตฟอร์มของ FTX และเอาออกมาไม่ได้ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมคริปโตเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ บริษัทร่วมลงทุนอย่าง Sequoia ก็เสียหายไปกว่า 210 ล้านเหรียญจากการลงทุนใน FTX หรือแม้แต่โครงการบำเหน็จของครูเมือง Ontario ประเทศแคนาดาก็ลงทุนใน FTX ไปกว่า 95 ล้านเหรียญ ตอนนี้มีการคาดการณ์ว่ามีคนเสียหายประมาณ 1 ล้านคน และจากรายงานของจอห์นหลังจากที่เข้ามาดูแลในตำแหน่งซีอีโอก็บอกว่าเจ้าหนี้ 50 รายใหญ่แรกของ FTX ก็ 3,000 ล้านเหรียญแล้วการล้มของ FTX ทำให้คนสูญเสียความมั่นใจกับตลาดคริปโต หลายคนมองว่านี่เป็นเหตุการณ์คล้ายกับช่วงฟองสบู่ดอตคอมช่วงปลาย 90’s ที่บริษัทเทคโนโลยีมากมายล้มหายตายจากกันไป แต่คนที่เหลือรอดอย่าง Amazon, Apple, Microsoft หรือ Google ต่างล้วนเป็นของจริงจึงอยู่ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคริปโตตอนนี้เหมือนเป็นการคัดคนออก ส่วนที่เหลือรอดไปได้จะเติบโตอย่างมหาศาลและกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมต่อไป

งานเขียนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา

751471 Economic of DeFi (Decentralized Finance)

ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร. ณพล หงสกุลวสุ

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

งานชิ้นนี้ เขียนโดย 

นาย ณัฐฒนนท์ ธิราช รหัส 641610140

 

 

None