‘ออม’ สุภัค สุขสวัสดิ์ ความสดใสในความเศร้าและเรื่องราวของเด็กหนุ่มสีชมพู

‘ออม’ สุภัค สุขสวัสดิ์ ความสดใสในความเศร้าและเรื่องราวของเด็กหนุ่มสีชมพู

เราอาจต้องเล่าให้ทุกคนฟังก่อนว่า ก่อนที่จะมีชื่อเสียงจากชูการ์รูน แรกเริ่มเดิมที ‘ออม’ สุภัค สุขสวัสดิ์ มีผลงานในโลก TikTok มาบ้างแล้ว โดยเกิดจากเวลาว่างในการทำงานที่บ้าน ในช่วงแรกเป็นการลิปซิงก์ และเต้น ทำคอนเทนต์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มเจอดราม่าต่างๆ โดนโจมตีว่าดูน่ากลัว ดูโรคจิต ดูแล้วรู้สึกขยาด จนเขาเริ่มตั้งคำถามกับเส้นทางชีวิตของตัวเอง ก่อนยุคชูการ์รูน ช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราก็เริ่มทำคลิป TikTok จากเวลาว่างช่วง work from home ก็ทำไปเรื่อยๆ แต่มีช่วงหนึ่ง เราเจอดราม่าจากคลิป ‘ชู่เห็นฟัน’ เพราะท่าทางเราดูโรคจิต ตอนนั้นเราเกือบจะหยุดทำ เรารู้สึกว่าทำไมคนคนหนึ่งต้องมาเจออะไรแบบนี้ พอมันเป็นโลกออนไลน์ คนก็กล้าที่จะมาคอมเมนต์แรงๆ ใส่เรา เรารู้สึกแค่ว่า ถ้าคุณมาเห็นคลิปเราแล้วคุณรู้สึกไม่ชอบเรา คุณก็เลือกที่จะเลื่อนผ่านไปเลยก็ได้โดยที่ไม่ต้องมาคอมเมนต์อะไร แต่ตอนนั้นเราก็ตอบกลับไปว่า ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าคลิปเรามันขึ้นฟีดคุณบ่อย เราก็ขอโทษจริงๆ เราไม่ได้อยากทำร้ายกันไปกันมา เพราะเราก็ไม่ได้รู้จักเขา เขาก็ไม่ได้รู้จักเรา พอหลังจากโดนกระแสตรงนี้ เราก็เว้นระยะห่างไปสักพักหนึ่ง แล้วลองมาไลฟ์อีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่าถ้าไม่มีใครเข้ามาดูก็ไม่เป็นไร เพราะเราอยากจะลองขึ้นมาพูดคุยกับคนอื่นๆ อยู่แล้ว พอลองปุ๊บมีคนเข้ามาดูเป็นร้อยสองร้อยคน จากคนที่ติดตามเราอยู่ แล้วเขาเห็นเรามากขึ้น […]

เราอาจต้องเล่าให้ทุกคนฟังก่อนว่า ก่อนที่จะมีชื่อเสียงจากชูการ์รูน แรกเริ่มเดิมที ‘ออม’ สุภัค สุขสวัสดิ์ มีผลงานในโลก TikTok มาบ้างแล้ว โดยเกิดจากเวลาว่างในการทำงานที่บ้าน ในช่วงแรกเป็นการลิปซิงก์ และเต้น ทำคอนเทนต์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มเจอดราม่าต่างๆ โดนโจมตีว่าดูน่ากลัว ดูโรคจิต ดูแล้วรู้สึกขยาด จนเขาเริ่มตั้งคำถามกับเส้นทางชีวิตของตัวเอง

ก่อนยุคชูการ์รูน ช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เราก็เริ่มทำคลิป TikTok จากเวลาว่างช่วง work from home ก็ทำไปเรื่อยๆ แต่มีช่วงหนึ่ง เราเจอดราม่าจากคลิป ‘ชู่เห็นฟัน’ เพราะท่าทางเราดูโรคจิต ตอนนั้นเราเกือบจะหยุดทำ เรารู้สึกว่าทำไมคนคนหนึ่งต้องมาเจออะไรแบบนี้ พอมันเป็นโลกออนไลน์ คนก็กล้าที่จะมาคอมเมนต์แรงๆ ใส่เรา เรารู้สึกแค่ว่า ถ้าคุณมาเห็นคลิปเราแล้วคุณรู้สึกไม่ชอบเรา คุณก็เลือกที่จะเลื่อนผ่านไปเลยก็ได้โดยที่ไม่ต้องมาคอมเมนต์อะไร

แต่ตอนนั้นเราก็ตอบกลับไปว่า ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าคลิปเรามันขึ้นฟีดคุณบ่อย เราก็ขอโทษจริงๆ เราไม่ได้อยากทำร้ายกันไปกันมา เพราะเราก็ไม่ได้รู้จักเขา เขาก็ไม่ได้รู้จักเรา

พอหลังจากโดนกระแสตรงนี้ เราก็เว้นระยะห่างไปสักพักหนึ่ง แล้วลองมาไลฟ์อีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่าถ้าไม่มีใครเข้ามาดูก็ไม่เป็นไร เพราะเราอยากจะลองขึ้นมาพูดคุยกับคนอื่นๆ อยู่แล้ว พอลองปุ๊บมีคนเข้ามาดูเป็นร้อยสองร้อยคน จากคนที่ติดตามเราอยู่ แล้วเขาเห็นเรามากขึ้น พอคนเข้ามาดูเขาก็พูดว่า เราไม่เห็นเหมือนในคลิปเลย เขาไม่ได้รู้สึกว่าเราดูน่ากลัวเหมือนในคลิป เราดูร่าเริง เราอยากที่จะเล่นกับเขา ซึ่งการที่มีคนเข้ามาพูดคุยมันยิ่งทำให้เรารู้สึกสนุกมากกว่าเดิม เราก็เลยไลฟ์มาเรื่อยๆ

แล้ว ‘ชูการ์รูน’ มาจากไหน

เราชอบแต่งตัวอยู่แล้วโดยเริ่มจากชุดต่างๆ ส่วนคำนี้ก็เริ่มต้นมาจากคำว่า ‘เหมียวๆ’ มาจากหูแมวที่เราชอบใส่ ซึ่งมันเป็นภาษาที่น่ารักดี พอเขาบอกว่าอยากให้เราฝันดีโดยใส่คำว่าเหมียวๆ เราก็เลยใส่ลงไป ด้วยความเป็นเมดญี่ปุ่น แล้วเราก็มีไม้คทา ซึ่งตอนนั้นเราติดคำว่าโอมเพี้ยง เราก็เลยใส่คำว่า ‘โอมเพี้ยงเลย’ ให้เขามีความสุข หลังๆ มาก็จะมีคำว่า ‘เหนี่ยนเหนี้ยน’

จนสุดท้ายได้มาเจอน้องคนหนึ่ง ซึ่งน้องมาดูไลฟ์เรา มีโอกาสได้พูดคุยกัน วันนั้นเป็นวันที่เราแต่งชุดนี้ แล้วได้ถุงมือมาใหม่ เป็นถุงมือแปลงร่างรูปหัวใจ แล้วน้องเขาก็พูดขึ้นมาว่า พี่ลองพูดคำว่า ‘ชูการ์ ชูการ์ รูน หัวใจเธอฉันขอได้ไหม, หัวใจเธอฉันขอนะ’ เราก็ทำท่าทางให้น้องดูไปพร้อมกับพูดประโยคนี้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าคำนี้มันมาจากไหน ก็ไปค้นหาดู เราก็ได้รู้ว่ามันมาจากการ์ตูนเรื่อง ‘แม่มดสาวหัวใจกุ๊กกิ๊ก’ เป็นการ์ตูนที่เราเคยดูตอนวัยเด็ก แล้วมันเป็นเรื่องที่แฟนคลับเราขอมา เราก็ทำให้ เพราะเขาก็คงรู้สึกสนุกกับมัน

เหนื่อยไหม ต้องคอยอวยพรคนอื่นๆ

จะมีคนที่เข้ามาถามคำถามเราอยู่นะใน Q&A ว่าทำไมเราถึงทำไลฟ์อวยพรเหรอ เราก็บอกคนดูนะว่าเราไม่ได้ทำแค่อวยพร เราก็เหมือนวีเจ ที่อยากพูดคุย เล่นเกม เต้นไปกับทุกคน แต่ภาพจำที่ทุกคนเห็นก็คือคลิปอวยพร เลยทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากๆ ในตอนที่เป็นกระแสแรกๆ เพราะเราปรับตัวไม่ทัน และเราเป็นคนที่ใจอ่อน ถ้าคนขอเข้ามา เราก็โอเค ตั้งใจทำให้ แล้วเราก็รู้สึกดีใจที่คนมาดูไลฟ์

แต่พอทำแบบนี้ไปเยอะๆ เรารู้สึกว่าเราใช้พลังงานมากเกินไป ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่ใช่ตัวเราอยู่หรือเปล่า เพราะเราไม่คิดจะทำแบบนี้ตั้งแต่ต้น ก็มีอึดอัด มีเสียใจอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ แต่เรารู้ดีว่าสิ่งที่เขาขอ คือสิ่งที่เราทำให้เขามีความสุขได้ เราก็ทำ

ถามว่าจัดการความเหนื่อยได้ไหม สิ่งที่เราทำคือพยายามจะตัดจบตรงนั้นเลย จะเหนื่อยหรือไลฟ์ก็ปล่อยมันไปก่อน แล้วกลับมาถามความรู้สึกตัวเองว่า เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหม วนๆ อยู่แบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็พยายามทิ้งมันไป พยายามลืมๆ ณ ช่วงเวลาหนึ่งมันก็หายไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะอารมณ์เหนื่อยชั่ววูบ ที่เมื่อก่อนมันไม่เหนื่อยขนาดนี้เพราะว่า เราได้คุยกับทุกคนเหมือนคนรู้จักกัน

ถ้าให้พูดตรงๆ การต้องอวยพรคนอื่นตลอดเวลา มันอาจไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ เรามีความสุขกับมันนะ แต่พอทำเรื่อยๆ มากขึ้น เราจะเริ่มหมดพลังในตัวเอง ในช่วงแรกๆ เราบอกฝันดีทุกคนที่เข้ามาดูไลฟ์เรา ทำอย่างนี้มาตลอดก่อนที่จะเป็นชูการ์รูน

แต่ชูการ์รูน มันทำให้คนเห็นแล้วก็รู้จักในตัวเรามากขึ้น ไม่ได้เป็นตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์ มันเลยทำให้เรารู้สึกเหนื่อย คงเพราะคนเห็นเรามากขึ้นเลยทำให้เราอวยพรเยอะขึ้น มันเลยเป็นความรู้สึกที่ว่าเราต้องทำเพราะว่ามันคือกระแส ถามว่าฝืนไหมก็มีบ้าง เพราะเราก็อยากทำแนวอื่น อยากจะกลับไปเทคแคร์คนที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ช่วงแรกๆ แต่เราทำไม่ได้ มันเลยทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ ต่อคนที่เขาเคยมาดูเรา

บางทีเราเห็นเขาเข้ามาดูนะ แต่เราก็ลืมพูดชื่อเขา ซึ่งเราก็ยังนึกถึงเขาตลอด เหมือนเติบโตมาด้วยกัน แต่เราดูแลเขาได้ไม่มากพอ มันก็เลยไม่ใช่ความสนุกสำหรับเราแล้ว

คิดว่าตัวเองจะแบกพลังงานแบบนี้ไปได้ถึงเมื่อไหร่

มันเป็นงานหนึ่งของเราไปแล้ว พอเป็นงานมันก็ต้องทำ แต่ช่วงนี้เราก็เข้าใจว่า กระแสที่มันมีอยู่ตอนนี้ก็คงอยู่อีกไม่นานหรอก อาจจะไม่ใช่เพราะสังคม อาจจะเป็นเพราะตัวเราเอง เพราะเรารู้สึกไม่ไหว รู้สึกว่ามันหนักเกินไป ถึงแม้จะดูเป็นมิตร มีรอยยิ้ม แต่จริงๆ เราแบกอะไรไว้เยอะมากและความใจดีของเราก็เคยหันกลับมาทำร้ายตัวเรา ซึ่งช่วงนี้เราก็แบกสิ่งนั้นมากอยู่พอสมควร มันก็เลยรู้สึกว่าเริ่มไม่ใช่ความสุขของตัวเองแล้ว

เพราะถ้าเลือกได้ เราก็ชอบที่มีแฟนคลับประมาณหนึ่งมากกว่า เพราะว่าเราเทคแคร์เขาได้ เราสนุกกับมัน แต่ว่าการที่เราได้มาอยู่จุดนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เพราะเราได้มอบความสุขให้คนได้มากกว่าเดิม มันก็ดีที่มีคนรู้จักเรา

แต่ตอนนี้เราอยากจะพักมากๆ จะเห็นว่าช่วงหลังๆ เราแทบจะไม่ได้ลงคลิปบอกฝันดีเลย แบบไม่ได้ลงถี่เหมือนแต่ก่อน เพราะเรารู้สึกเหนื่อย เราใช้คำพูดเดิมๆ มากเกินไป มีหลายคอมเมนต์ที่แบบ ชูการ์รูนอีกแล้วเหรอ ชูการ์ ชูการ์รูนอีกแล้วเหรอ แล้วก็มีอีกหลายๆ คำที่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้เข้ากันเลย แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่เขาอยากจะได้ยินคำนี้ เพราะเขาชอบเราและอยากให้เราทำต่อ เราก็เลยเลือกที่จะทำอยู่ แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะทำมันไปได้ถึงตอนไหน

เรื่องราวไหนที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดที่สุด

อันนี้ก็ไม่เชิงแรงเท่าไหร่ แต่เรารู้สึก คือจะมีคลิปหนึ่งที่คนเขาไปทำชูการ์รูน กับคนขายไอติม เป็นคลิปที่ดังเลย ดังกว่าคลิปเราอีก แล้วมันก็เลยขึ้นคำค้นหาในคลิปของเราว่า ชูการ์รูนพ่อแม่มึงเหรอ ที่คนขายไอติมเขาพูดมา (https://citly.me/mp7YS) แล้วคนก็เลยเอาคำนี้ มาคอมเมนต์เรา

กลายเป็นคำในการเมคฟันและทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองและรู้สึกไม่ดี ทั้งๆ ที่สิ่งที่เราทำออกมามันก็ไม่ได้มีใครเสียหายเลย

แต่เราก็เข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกคนที่โตมาแล้วจะมองโลกในมุมมองเดียวกันกับเรา เราไม่ได้โตมาในที่เดียวกัน เขาก็คงไม่ได้มาเห็นในสิ่งที่เราเห็นเหมือนกันทุกคน เราไม่ได้โลกสวย แต่เราอาจจะชอบยิ้มมากกว่าคนปกติทั่วไปมากไปหน่อย เวลาเราเจอกับใครเราก็มีพลังงานในการสร้างสีสัน มีความขี้เล่น ไม่อยากให้คนอึดอัด

เพราะเราเป็นคนหนึ่งที่ผ่านจุดต่ำสุดในชีวิตมาก่อน เคยทำร้ายความรู้สึกตัวเองมาเยอะ จัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โดยการที่เราเป็นคนที่ชอบเทคแคร์คนอื่นมากเกินไป พอถึงจุดหนึ่ง สิ่งนั้นมันกลับมาทำร้ายตัวเราเอง พอเราจัดการกับตัวเองไม่ได้ เราก็พังไปเลย กลับมาจากเรียน ปิดไฟนอน และก็ร้องไห้จนหลับไป เป็นช่วงที่ชีวิตตกต่ำสุดๆ เราเคยกินยาเกินขนาด กินไปเป็นสิบๆ เม็ด เพราะเราอยากจะหายไป จนต้องเรียกรถพยาบาล นอนคนเดียวในห้องโล่งๆ อยู่ประมาณ 3 วัน จนเพื่อนเป็นห่วงและพอเราได้เจอเพื่อน ได้เจอผู้คนมันก็ค่อยทำให้เรารู้สึกดีขึ้น

ก้าวผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร

ส่วนใหญ่ก็คือเพื่อนลากขึ้นมา เพื่อนลากเราออกไปสังสรรค์ ไปใช้ชีวิตให้มากขึ้นกว่าเดิม พอเรามองกลับไปดูสิ่งที่เราทำ เราก็แก้ไขให้เรากลับมาเป็นคนเดิม แล้วมั่นใจว่าเราจะไม่กลับไปจุดนั้นอีกแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเราทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ถามว่าความรู้สึกที่อยากจะหายไปยังมีอยู่ไหม มันก็มีบางช่วง แต่เราก็จัดการความรู้สึกนี้ได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม จากประสบการณ์ แล้วเราก็เติบโตขึ้นด้วย จากสิ่งที่เราทำลงไป ทำให้เรามาอยู่ ณ จุดนี้ได้

กระแสมันก็มีขึ้น แล้วก็จะหายไปในช่วงเวลาหนึ่ง พอเราเอาตรงนี้เป็นงาน ถ้ามันไปรอดเราก็ดีใจกับมันนะ แต่ถ้าในอีกมุมมองหนึ่งการที่มันเป็นงาน แล้วเรารู้สึกเหนื่อยกับมัน เราก็กลับมาคิดว่าจะทำยังไงให้งานนี้มันกลับมาสนุกเหมือนเดิม เราก็พยายามหาหนทางที่มันไปต่อได้ ถามว่าแพสชันหมดไหม มันก็มีบ้าง แต่ก็ยังพยายามหาไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่คำที่เราพูด มันก็เป็นคำที่เอาไว้เล่นตลกๆ ที่เคยได้เล่นกับแฟน เล่นกับหลาน ซึ่งมันเป็นมุมมองเด็กๆ ที่เราชอบ

ทำไมถึงเลือกที่จะแสดงตัวตนในแง่มุมสดใสและคำพูดดีๆ

อย่างที่บอกว่า เราเคยตกไปอยู่ในจุดที่แย่ๆ มาก่อน เลยอยากให้คนที่เขาเข้ามาดูเรา ได้ยินคำอวยพรที่เราให้ และทำให้เขารู้สึกดี เพราะบางทีเขาก็อยากได้ยินคำนี้จากใครสักคนเหมือนกัน มันเหมือนความรู้สึกของเรา ที่เคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่ต้องจากบ้านจากครอบครัวมาอาศัยอยู่คนเดียว พอเวลารู้สึกแย่ เวลาที่ต้องอยู่คนเดียว ก็ไม่ค่อยมีใครที่คอยปลอบ เพราะเราชอบเก็บความในใจไว้คนเดียว ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว มาถึงจุดจุดหนึ่งเวลาที่เราเศร้าหรือรู้สึกแย่มากๆ เราก็ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ เราก็เลยพยายามกลับมาเป็นคนเดิมที่สดใส ชอบยิ้มให้ตัวเอง เหมือนเป็นสิ่งเติมพลังให้ตัวเองกลับมาทำสิ่งที่เรารักต่อ

อยากฝากอะไรถึงคนอื่นบ้าง ในฐานะที่เราเคยผ่านเรื่องแย่ๆ มาแล้ว

อันนี้น่าจะบอกยากหน่อย เพราะแต่ละคนเขาเจอเรื่องที่แย่ๆ มาไม่เหมือนกัน คนที่เคยเจอเรื่องแบบเดียวกันมา เราก็บอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกแย่แค่ไหน แล้วการที่เขามาเจอเรา เราก็อาจไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีได้เท่าๆ กัน

แต่บางทีถ้าเขาเลือกที่จะจมอยู่ตรงนั้น มันก็สามารถทำได้นะ เราเข้าใจดีว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยว แล้วไม่ค่อยมีใครพูดปลอบเรา หรือมาพูดซัพพอร์ตเรา เพราะมันเคยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มาอยู่ตรงนี้ หลายๆ คนที่กำลังจมอยู่ ให้จมกับมันจนกว่าจะพอใจ เวลาที่เราเครียด เราก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมา เพราะถ้ายิ่งเราเก็บมันไว้ ยิ่งเราต้านมันก็จะเป็นความรู้สึกที่หนักขึ้นกว่าเดิม

บางทีเราก็ไม่รู้ว่าต้องจัดการกับมันอย่างไร แต่เราคิดว่าคนรอบข้างสามารถช่วยดึงเราขึ้นมาเยอะเลย อาจจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ หรือใครสักคนที่เขารับฟังและพร้อมปลอบคุณ เรารู้สึกว่าคำพูดดีๆ แค่คำเดียว มันสามารถช่วยเราไว้ได้เยอะ มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่เราไปออกงานที่อาร์ตทอย แล้วเราไปเจอฝรั่งคนหนึ่ง เขาชมเราว่า “You are so beautiful.” แล้วก็มาถ่ายรูปกับเรา แค่เขาพูดประโยคนี้มา เราก็รู้สึกว่าทำให้วันนั้นของเราดีมากๆ แค่คำดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถพูดได้ กลับไม่ค่อยพูดกัน แต่คำด่าที่ควรคิดก่อนจะพูด คนกลับชอบพูดออกมากันแบบไม่คิด

เราเคยเล่น Q&A แล้วมีคำถามประมาณว่า สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขคืออะไร เราก็เลยตอบไปว่า ‘การได้เห็นตัวเองยิ้มมั้ง’ ในหนึ่งวันที่เราได้เห็นตัวเองยิ้มแค่นั้น เราก็รู้สึกมีความสุขแล้ว เราก็ไม่รู้ว่ามันมาจากทัศนคติ แพสชันหรืออะไรกันแน่ แต่การที่เรายิ้มได้มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเรารอดไปได้อีกหนึ่งวัน ซึ่งเราไม่ได้มองไปถึงอนาคตสักเท่าไหร่ วันนี้ผ่านไปได้ก็ดีแล้ว เพราะทุกวันมันมีเรื่องเซอร์ไพรส์เราตลอด ทั้งเรื่องดีและไม่ดี อยู่ที่เราเลือกจะมองตรงไหนมากกว่า

เราแค่มองโลกในมุมมองที่ว่าเราอยู่กับมันได้ เพราะถ้าเรามองในแง่ลบเกินไป มันก็แย่กับเรา แล้วยังไปทำร้ายคนอื่นอีก ซึ่งไม่ดีกับใครเลย เราก็เลยมองโลกในมุมมองที่เป็นปกติของเราเท่านั้นเอง

‘ออม’ สุภัค สุขสวัสดิ์TikTokชูการ์รูนชู่เห็นฟัน