คุยกับ ‘อู๋ The Yers’  ในวันที่รู้ว่า ‘ปวดหลัง’ อันตรายมากกว่าที่คิด จึงหันมารักตัวเองมากขึ้นร้อยเท่า

คุยกับ ‘อู๋ The Yers’ ในวันที่รู้ว่า ‘ปวดหลัง’ อันตรายมากกว่าที่คิด จึงหันมารักตัวเองมากขึ้นร้อยเท่า

ไม่ปวดหลังอย่างฉันใครจะเข้าใจ ซึ่งหากใครที่ไม่ปวดหลังถือเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะอาการ ‘ปวดหลัง’ เป็นหนึ่งในอาการฮอตฮิตของผู้คนยุคสมัยนี้ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และอาจเป็นสัญญาณอันตรายถึงความผิดปกติของร่างกาย รวมถึงโรคต่างๆ ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ หรือไม่ควรถูกมองข้ามจนกลายเป็นเรื่องปกติ วันนี้เราจึงชวน ‘คุณอู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์’ ผู้เป็นนักร้องนำและมือกีตาร์ วง The Yers วงดนตรีร็อกอินดี้ที่มีเพลงติดหูมากมาย มาร่วมแชร์มุมมองอาการปวดหลัง รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์เจอปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และเสนอทางแก้ เพื่อสวัสดิการที่ดี และเพื่อให้เราทุกคนไม่ต้อง ‘ร่างพัง’ กันอีกต่อไป “คนเราไม่ถูกสอนให้ยกของให้ดีตั้งแต่เด็ก กว่าจะรู้ตัวก็ปวดหนักแล้ว” นี่เองคือสาเหตุหลักที่ทำให้คุณอู๋ต้องประสบกับอาการปวดหลังมาตั้งแต่วัยเยาว์ สาเหตุที่ทำให้อู๋ปวดหลังนั้นมาจากการยกของหนักประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์นั้นเกิดจากการนั่ง อีกทั้งเขายังอธิบายว่า จริงๆ แล้วเพิ่งมารู้จักอาการดังกล่าวเรียกว่า ‘อาการปวดหลัง’ เมื่อตอนอายุ 18-19 ปีนี้เอง เพราะตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่มเล่นกลองใหม่ๆ ต้องขนของหนักเป็นประจำ คุณอู๋ได้เล่าว่า เนื่องจากตอนเด็กที่บ้านเขาขายนมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่ง ต้องคอยช่วยพ่อยกลังมาตลอด จนรู้สึกว่าทำอะไรก็ปวดหลังไปหมด จะวิ่ง จะทำงานแป๊บเดียวก็ปวด แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร คิดว่าขี้เกียจไม่ขยันเองมากกว่า ที่บ้านก็ไม่มีใครเข้าใจ หาว่าทำงานนิดหน่อยก็มาบ่นปวดหลัง แต่เขาปวดจริงๆ […]

ไม่ปวดหลังอย่างฉันใครจะเข้าใจ ซึ่งหากใครที่ไม่ปวดหลังถือเป็นลาภอันประเสริฐ

เพราะอาการ ‘ปวดหลัง’ เป็นหนึ่งในอาการฮอตฮิตของผู้คนยุคสมัยนี้ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และอาจเป็นสัญญาณอันตรายถึงความผิดปกติของร่างกาย รวมถึงโรคต่างๆ ได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ หรือไม่ควรถูกมองข้ามจนกลายเป็นเรื่องปกติ

วันนี้เราจึงชวน ‘คุณอู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์’ ผู้เป็นนักร้องนำและมือกีตาร์ วง The Yers วงดนตรีร็อกอินดี้ที่มีเพลงติดหูมากมาย มาร่วมแชร์มุมมองอาการปวดหลัง รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์เจอปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และเสนอทางแก้ เพื่อสวัสดิการที่ดี และเพื่อให้เราทุกคนไม่ต้อง ‘ร่างพัง’ กันอีกต่อไป

“คนเราไม่ถูกสอนให้ยกของให้ดีตั้งแต่เด็ก กว่าจะรู้ตัวก็ปวดหนักแล้ว” นี่เองคือสาเหตุหลักที่ทำให้คุณอู๋ต้องประสบกับอาการปวดหลังมาตั้งแต่วัยเยาว์

สาเหตุที่ทำให้อู๋ปวดหลังนั้นมาจากการยกของหนักประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์นั้นเกิดจากการนั่ง อีกทั้งเขายังอธิบายว่า จริงๆ แล้วเพิ่งมารู้จักอาการดังกล่าวเรียกว่า ‘อาการปวดหลัง’ เมื่อตอนอายุ 18-19 ปีนี้เอง เพราะตอนนั้นเขาเพิ่งเริ่มเล่นกลองใหม่ๆ ต้องขนของหนักเป็นประจำ

คุณอู๋ได้เล่าว่า เนื่องจากตอนเด็กที่บ้านเขาขายนมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่ง ต้องคอยช่วยพ่อยกลังมาตลอด จนรู้สึกว่าทำอะไรก็ปวดหลังไปหมด จะวิ่ง จะทำงานแป๊บเดียวก็ปวด แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร คิดว่าขี้เกียจไม่ขยันเองมากกว่า ที่บ้านก็ไม่มีใครเข้าใจ หาว่าทำงานนิดหน่อยก็มาบ่นปวดหลัง แต่เขาปวดจริงๆ ไม่ใช่คนขี้เกียจ หรือคนห่วย

“ควรเป็นเรื่องที่สอนกันตั้งแต่เด็ก และควรถูกระบุไว้ในหลักสูตรการศึกษาไทย ให้เป็นเรื่องหนึ่งที่ให้สอนวิชาสุขศึกษา” คุณอู๋กล่าวกับเราด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น

โดยเหตุผลที่เขากล่าวเช่นนั้นก็มาจากการยกของหนัก และนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาอาการปวดหลังของเขาเริ่มรุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

คุณอู๋เล่าว่า วันนั้นเขาช่วยภรรยายกของบริจาคน้ำหนักประมาณ 40 – 50 กิโลกรัม แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบจนลงไปนอนกองกับพื้น จึงรีบไปโรงพยาบาลทันทีหมอฉีดยา ให้ยากลับมากินที่บ้าน ซึ่งก็ดีเพียงวันเดียว และกลับมาปวดอีกรอบหนึ่งจนต้องเข้ารับการกายภาพ

“หมอบอกกล้ามเนื้ออักเสบแล้วดันไปเจอหมอนรองกระดูกเสื่อมเหมือนคนอายุ 60 ปีแล้ว จนมันปลิ้นออกมา แต่โชคดียังไม่หัก ไม่ได้ร้าวลงไปที่ปลายประสาท ขาจึงยังไม่เป็นไร”

พอคุณอู๋ได้เข้ารับการรักษาด้วยการกินยา ร่วมกับกายภาพทำให้ปัจจุบันอาการดังกล่าวไม่มีแล้ว ในขณะเดียวกันไม่ใช่แค่ชีวิตของเขาที่เปลี่ยนไป แต่คนรอบข้างอย่างภรรยา ครอบครัว และเพื่อนก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย

เขาเลือกที่จะไม่ยกของหนักอีกตลอดทั้งชีวิต แล้วก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง แต่เพราะเป็นนักดนตรี อีกทั้งบ้านยังเป็นพื้นที่ซ้อมดนตรี จึงต้องยกเครื่องดนตรีตลอดเวลา ทำให้คนรอบข้างต้องมาลำบากไปด้วย ต้องมาคอยช่วยยกของ ซึ่งถ้าเขาลองจับดูแล้วคิดว่าไหวก็จะยกเอง แต่ดูแล้วไม่ไหวก็เรียกครอบครัว หรือภรรยามาช่วย

และด้วยความสงสัย เราจึงถามคุณอู๋ด้วยว่า การทำงานสายดนตรีนั้นมีผลต่ออาการปวดหลังไหม แล้วมันมากกว่าการทำงานด้านอื่นหรือเปล่า

“เราเป็นนักดนตรีที่ไม่ได้เล่นดนตรีอย่างเดียว แต่ยังโปรดิวเซอร์ที่ต้องนั่งหน้าคอมอยู่ตลอด จึงมีผลแน่นอน อย่างแรกเลยคือเปลืองเงินแน่นอน เราต้องซื้อเก้าอี้แพงๆ ราคามันสูงมาก ส่วนอีกอย่างคือเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง และอาการปวดหลังมันไม่มากกว่าการทำงานด้านอื่น เราสงสารคนทำงานที่ยกของ แบกของทั้งหลาย”

สมมติคนทำงานออฟฟิศเงินเดือนไม่ได้เยอะ ฐานะทางบ้านไม่ได้ดี ต้องนั่งเก้าอี้วันละหลายชั่วโมง แล้วถ้าเป็นออฟฟิศซินโดรมขึ้นมาจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเก้าอี้ดีๆ นั่ง

“คนที่ดูแลองค์กรควรใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น เพราะมันซ่อมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุคคลหรือเจ้านาย จริงๆ เราไม่ค่อยรู้ระบบออฟฟิศ แต่คิดว่าต้องพาไปซื้อเก้าอี้กับโต๊ะที่ถูกต้อง ถ้าเงินเดือนพวกเขาไม่พอซื้อ อีกทั้งองค์กรควรมีการให้ความรู้กับเหล่าพนักงานด้วย” คุณอู๋ กล่าวเพิ่มเติม

ในฐานะคนทำงานสายดนตรีนั้น เขาไม่เคยได้คุยกับทางค่ายเลยว่ามีสวัสดิการในการรักษาสุขภาพเกี่ยวกับปัญหาปวดหลังไหม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็คิดว่าควรมีสวัสดิการที่ครอบคลุม ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว มันไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ารับการรักษา และคิดว่าอาจจะไม่จำเป็นเท่ากับพนักงานที่ต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานๆ

แน่นอนว่าทั้งอาการปวดหลัง และปัญหาหมอนรองกระดูกเสื่อม ทำให้เขารักษาตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนท่านั่งให้ถูกต้อง เช่น ไม่เอาศอกไปเท้าคางบนโต๊ะทำงาน หรือนั่งไขว่ห้างนานๆ อีกต่อไปแล้ว และที่สำคัญหลีกเลี่ยงการยกของหนัก ทำตามทุกคำแนะนำของคุณหมอ

“ร่างกายสึกหรอเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่สามารถรู้ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าคุณปวดหลัง แล้วมีเงินก็ไปหาหมอ ไปทำกายภาพ อย่าไปยกของหนักเลย เพราะร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้ยกของหนักมากๆ ควรหาคนช่วย ถ้าเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบวันนั้นจะรักตัวเองมากขึ้นหลายร้อยเท่า” คุณอู๋กล่าวทิ้งท้าย

สุดท้ายนี้ เราอยากชวนคุณมาร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เล่าประสบการณ์นั่งทำงานหลังแข็งเพื่อแลกกับสวัสดิการที่ดี พร้อมตะโกนบอกเจ้านายดังๆ ว่า ทำไมถึงปวดหลัง! กับเราได้ทาง: https://www.brandthink.me/campaign/puat-lang-thang-phaen-din

The Yersการทำงานคุณอู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ปวดหลังทั้งแผ่นดินร่างกายอาการปวดหลัง