ประวัติศาสตร์การมองเห็น เมื่อคำว่า ‘เลนส์แว่นตา’ กำเนิดมาจาก ‘ถั่ว’ (Lentil)

ประวัติศาสตร์การมองเห็น เมื่อคำว่า ‘เลนส์แว่นตา’ กำเนิดมาจาก ‘ถั่ว’ (Lentil)

สารพันปัญหาที่เกิดจากสายตานั้นก่อกวนการใช้ชีวิตของมนุษย์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะสายตายาว สายตาสั้น หรือสายตาเอียง ในขณะที่บางคนก็ทั้งสั้น ทั้งยาว และเอียงในคนเดียวกัน โชคดีที่เราเกิดขึ้นมาในโลกที่มีแว่นตาและคอนแทคเลนส์ขายกันเป็นเรื่องปกติทำให้เราสามารถมองเห็นโลกนี้ได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง สำหรับคนที่สายตาไม่ค่อยดีในยุคโบราณ เชื่อว่าคงเทิดทูนนวัตกรรมแว่นตาที่ใช้เลนส์กระจกเหมือนเป็นของขวัญจากฟ้ากันทีเดียว แต่กว่าที่แว่นตาจะเป็นแว่นตาที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน นวัตกรรมนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวและการพัฒนามาอย่างยาวนานนับพันปีเลยทีเดียว ไอเดียเรื่องการใช้เครื่องมือมาช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นเริ่มต้นขึ้นนานกว่าที่เราคิด มีบันทึกที่ระบุว่าจักรพรรดิเนโน ของจักรวรรดิโรมันชอบใช้มรกตส่องดูการแข่งขันของนักรบกลาดิเอเตอร์ เพื่อเพิ่มสีสันในการรับชม นอกจากนี้ยังมีบันทึกว่าชาวจีนโบราณใช้แผ่นแก้วในการช่วยลดแสงจ้า ในขณะที่แว่นขยายและการใช้เลนส์เพื่อสร้างความร้อนจากดวงอาทิตย์เป็นที่รู้จักเข้าใจกันมาตั้งแต่โบราณ วัฒนธรรมอาหรับและชาวทะเลทรายได้พัฒนาเลนส์ที่ช่วยเรื่องการมองเห็น พวกเขามีการศึกษาจำนวนมากรวมถึงสร้างกล้องส่องทางไกลและกล้องดูดาวชั้นเยี่ยม แต่อาจไม่ได้ใส่ใจการสร้างอุปกรณ์ที่ช่วยในการอ่านหนังสือมากนัก จนในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 12-13 นักบวชที่ต้องอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจได้ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า ‘หินสำหรับอ่าน’ (Reading stone) ขึ้น ซึ่งมันเป็นเหมือนกับแว่นขยายที่เอาไว้ทาบบนหนังสือเพื่อให้ตัวอักษรมีขนาดใหญ่และอ่านง่ายขึ้น แต่เหมือนหินช่วยอ่านก็ยังไม่สะดวกสบายมากขนาดนั้น ในที่สุดช่วงทศวรรษ 1280 ก็มีนักเป่าแก้วชาวอิตาลีชื่อว่า อเลสซานโดร ดิ สไปนา (Alessandro di Spina) และซัลนิโว เดกลิ อาร์มาติ (Salvino degli Armati) ซึ่งไม่แน่ชัดว่าใครคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่ช่วยกันก็ได้คิดค้นเลนส์แบบโค้งที่เอาไว้ใช้กับดวงตาโดยเฉพาะขึ้น โดนที่เอามันไปติดไว้ในกรอบไม้หรือหนัง แล้วยึดไว้กับใบหน้าด้วยการคล้องเชือก หรือเป็นแบบถือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน นี่คือจุดเริ่มต้นของแว่นตาแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน และแน่นอนว่าคนที่ได้ใช้นวัตกรรมนี้อย่างเอาจริงเอาจังคอเหล่านักบวชที่เคร่งครัดกับการอ่านมากกว่าใครในสังคมยุคนั้น และภายในเวลาไม่นาน ‘แว่นตา’ เหล่านี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมากไปทั่วยุโรป […]

สารพันปัญหาที่เกิดจากสายตานั้นก่อกวนการใช้ชีวิตของมนุษย์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะสายตายาว สายตาสั้น หรือสายตาเอียง ในขณะที่บางคนก็ทั้งสั้น ทั้งยาว และเอียงในคนเดียวกัน โชคดีที่เราเกิดขึ้นมาในโลกที่มีแว่นตาและคอนแทคเลนส์ขายกันเป็นเรื่องปกติทำให้เราสามารถมองเห็นโลกนี้ได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง

สำหรับคนที่สายตาไม่ค่อยดีในยุคโบราณ เชื่อว่าคงเทิดทูนนวัตกรรมแว่นตาที่ใช้เลนส์กระจกเหมือนเป็นของขวัญจากฟ้ากันทีเดียว แต่กว่าที่แว่นตาจะเป็นแว่นตาที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน นวัตกรรมนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวและการพัฒนามาอย่างยาวนานนับพันปีเลยทีเดียว

glasses | pinimg

ไอเดียเรื่องการใช้เครื่องมือมาช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นเริ่มต้นขึ้นนานกว่าที่เราคิด มีบันทึกที่ระบุว่าจักรพรรดิเนโน ของจักรวรรดิโรมันชอบใช้มรกตส่องดูการแข่งขันของนักรบกลาดิเอเตอร์ เพื่อเพิ่มสีสันในการรับชม นอกจากนี้ยังมีบันทึกว่าชาวจีนโบราณใช้แผ่นแก้วในการช่วยลดแสงจ้า

ในขณะที่แว่นขยายและการใช้เลนส์เพื่อสร้างความร้อนจากดวงอาทิตย์เป็นที่รู้จักเข้าใจกันมาตั้งแต่โบราณ วัฒนธรรมอาหรับและชาวทะเลทรายได้พัฒนาเลนส์ที่ช่วยเรื่องการมองเห็น พวกเขามีการศึกษาจำนวนมากรวมถึงสร้างกล้องส่องทางไกลและกล้องดูดาวชั้นเยี่ยม แต่อาจไม่ได้ใส่ใจการสร้างอุปกรณ์ที่ช่วยในการอ่านหนังสือมากนัก จนในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 12-13 นักบวชที่ต้องอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจได้ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า ‘หินสำหรับอ่าน’ (Reading stone) ขึ้น ซึ่งมันเป็นเหมือนกับแว่นขยายที่เอาไว้ทาบบนหนังสือเพื่อให้ตัวอักษรมีขนาดใหญ่และอ่านง่ายขึ้น

แต่เหมือนหินช่วยอ่านก็ยังไม่สะดวกสบายมากขนาดนั้น ในที่สุดช่วงทศวรรษ 1280 ก็มีนักเป่าแก้วชาวอิตาลีชื่อว่า อเลสซานโดร ดิ สไปนา (Alessandro di Spina) และซัลนิโว เดกลิ อาร์มาติ (Salvino degli Armati) ซึ่งไม่แน่ชัดว่าใครคนใดคนหนึ่งหรือทั้งคู่ช่วยกันก็ได้คิดค้นเลนส์แบบโค้งที่เอาไว้ใช้กับดวงตาโดยเฉพาะขึ้น โดนที่เอามันไปติดไว้ในกรอบไม้หรือหนัง แล้วยึดไว้กับใบหน้าด้วยการคล้องเชือก หรือเป็นแบบถือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน นี่คือจุดเริ่มต้นของแว่นตาแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน และแน่นอนว่าคนที่ได้ใช้นวัตกรรมนี้อย่างเอาจริงเอาจังคอเหล่านักบวชที่เคร่งครัดกับการอ่านมากกว่าใครในสังคมยุคนั้น

glasses | the times

และภายในเวลาไม่นาน ‘แว่นตา’ เหล่านี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมากไปทั่วยุโรป จนเราสามารถเห็นมันได้จากภาพวาดในยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมที่มีคนใช้กรอบแว่นแบบถืออยู่บ้าง มันได้รับความนิยมและแพร่ไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว (แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีไว้เพื่ออวดรวย) และทำให้มันเป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดทรงภูมิเพราะอ่านหนังสือมาตั้งแต่นั้น

แต่ด้วยความที่มันเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยให้นักบวชและผู้สูงอายุผู้ทรงภูมิอ่านหนังสือ เลนส์แว่นในยุคแรกเกิดมาเพื่อช่วยเหลือคนสายตายาวเท่านั้น และที่สำคัญคือมันถูกคนอิตาลีเรียกด้วยคำที่สุดแสนจะไม่ขลังและดูไม่นวัตกรรมว่า ‘เลนทิล’ (Lentil) ที่แปลว่าถั่ว เพราะรูปทรงของมันมีหน้าตากลมๆ เหมือนธัญพืชอย่างไรอย่างนั้น และสุดท้ายคำว่าถั่วเลนทิลในภาษาละตินก็พัฒนามาจนกลายเป็นคำว่า ‘เลนส์’ ที่เราคุ้นๆ กันในภาษาอังกฤษถึงปัจจุบันนี่เอง

หลังจากที่ ‘ถั่วช่วยมอง’ แพร่หลายไปทั่วยุโรป มันก็ได้พัฒนาตัวเองไปอีกหลายต่อหลายขั้นตอน และมันใช้เวลาอีกนับร้อยปีกว่าจะเริ่มมี ‘ก้านคล้องหู’ เพื่อให้ไม่ต้องเอามือจับในศตวรรษที่ 17 และใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะมีคนคิดค้นให้ขาแว่นสามารถพับเก็บแบบกรรไกรได้สำหรับคนที่ไม่อยากใส่ตลอดเวลา แต่มันก็ยังเป็นของทำมือที่หรูหราสำหรับคนชั้นสูงอยู่ดี 

เราอาจต้องขอบคุณยุคอุตสาหกรรมที่ทำให้ผลิตแว่นได้มหาศาล ทั้งกรอบแว่นและเลนส์จนทำให้มันกลายเป็นของเอื้อมถึงได้สำหรับทุกคนจริงๆ

อ้างอิง

Glasseshistorylenslentilการอ่านคิดค้น