
Norway: Is It The Perfect Economy ?
ECON CMU
เศรษฐกิจของนอร์เวย์เป็นเศรษฐกิจแบบผสมผสานที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูง โดยมีรัฐเป็นเจ้าของในพื้นที่ยุทธศาสตร์ แม้ว่าเศรษฐกิจของนอร์เวย์จะอ่อนไหวต่อวัฏจักรธุรกิจทั่วโลก แต่เศรษฐกิจของนอร์เวย์ก็มีการเติบโตที่แข็งแกร่งนับตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรม เริ่มต้นประเทศนี้มีมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป และระบบสวัสดิการแบบบูรณาการที่เข้มแข็ง ระบบการผลิตและสวัสดิการที่ทันสมัยของนอร์เวย์ต้องพึ่งพาเงินสำรองที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำมันจากทะเลเหนือ นอร์เวย์เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในสามอาณาจักรสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์กและสวีเดน) ในยุคไวกิ้ง
ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม เศรษฐกิจของนอร์เวย์มีพื้นฐานมาจากการเกษตร ไม้ซุง และการประมงเป็นส่วนใหญ่ ชาวนอร์เวย์มักอาศัยอยู่ภายใต้สภาวะที่ขาดแคลนมาก แม้ว่าการกันดารอาหารจะเกิดขึ้นได้ยากก็ตาม ยกเว้นพื้นที่อุดมสมบูรณ์บางแห่งใน Hedemarken และ Ostfold พืชผลถูกจำกัดให้มีเพียงเมล็ดพืชที่บึกบึน เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์และปศุสัตว์แก่ แกะ แพะ วัวควาย สุกร และสัตว์ปีกบางชนิด ในสถานที่นี้ถูกเสริมด้วยการล่าสัตว์ ในพื้นที่ทางตอนกลางและตอนเหนือของนอร์เวย์ชาวซามียังชีพด้วยการเลี้ยงกวางเรนเดียร์ เร่ร่อน การตกปลาทั่วชายฝั่งเป็นงานที่อันตราย แม้ว่าปลาเช่น ปลาเฮอริ่ง,ปลาคอด,halibut และชนิดพันธุ์น้ำเย็นอื่นๆ พบได้มากมาย การนำมันฝรั่งไปนอร์เวย์ (ในศตวรรษที่ 18) ช่วยบรรเทาชาวนอร์เวย์ได้มาก ทั่วชายฝั่ง การเก็บเกี่ยวปลา (รวมถึงปลาคอด ปลาเฮอริ่ง ฮาลิบัต และสายพันธุ์น้ำเย็นอื่นๆ) เป็นส่วนเสริมที่สำคัญในการทำการเกษตร และในหลายพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันตกเป็นปัจจัยหลักในการยังชีพ โดยทั่วไปแล้วการทำประมงจะเสริมด้วยการปลูกพืชผลและการเลี้ยงปศุสัตว์ในฟาร์มขนาดเล็ก
ภาวะเศรษฐกิจในนอร์เวย์ไม่เอื้ออำนวยต่อการก่อตัวของระบบศักดินาแม้ว่ากษัตริย์หลายองค์ได้ให้รางวัลที่ดินแก่ราษฎรที่ภักดีซึ่งกลายเป็นอัศวิน เกษตรกรที่เป็นเจ้าของตนเอง และยังคงเป็นหน่วยงานหลักในการเกษตรของนอร์เวย์ แต่นำไปสู่เกษตรกรในศตวรรษที่ 19 ที่ขาดแคลนที่ดินสำหรับทำการเกษตร ครอบครัวเกษตรกรรมจำนวนมากถูกลดความยากจนลงในฐานะเกษตรกรผู้เช่าและทำหน้าที่เป็นแรงผลักดันให้อพยพไปยังอเมริกาเหนือ
นอกเหนือจากการขุดใน Kongsberg,Roros และ Lokken อุตสาหกรรมยังมาพร้อมกับโรงงานสิ่งทอแห่งแรกที่สร้างขึ้นในนอร์เวย์ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 แต่วิสาหกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แห่งแรกก่อตัวขึ้นเมื่อการเมืองของผู้ประกอบการนำไปสู่การก่อตั้งธนาคารเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
ในปี 2550 ประเทศนอร์เวย์มีมูลค่า GDP ประมาณ 391.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ ประมาณ 2,288.69 พันล้านนอร์วีเจียนโครน ซึ่ งมูลค่า GDP ของนอร์เวย์ในช่วงปี 2543 – 2550 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยกว่าร้อยละ 12.04 ต่อปี อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงสภาวะเศรษฐกิจของนอร์เวย์ในช่วงดังกล่าว พบว่า ในช่วงปี 2543 – 2544 เศรษฐกิจมีการเติบโตไม่มากนัก แต่ในช่วงตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา เศรษฐกิจมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุน การขยายตัวของการส่งออกโดยเฉพาะการส่งออกน้ำมัน ซึ่งประเทศนอร์เวย์เป็นผู้ส่งออกนํ้ามันดิบที่สําคัญอันดับ 3 ของโลก รวมทั้งการขยายตัวของการบริโภค ภายในประเทศ (Household Consumption) ส่งผลให้มูลค่า GDP ของนอร์เวย์ในช่วงดังกล่าวมีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 14.82 ต่อปี นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงมูลค่า GDP per capita ของนอร์เวย์ พบว่า ในปี 2550 มีมูลค่าเท่ากับ 83,922.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อคน หรือประมาณ 490,609.4 นอร์วีเจียนโครนต่อคนซึ่งมูลค่า GDP per capita ของนอร์เวย์ในช่วงปี 2543 – 2550 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จาก 37,520.08 เหรียญสหรัฐฯ ในปี 2543 คิดเป็นอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 11.43 ต่อปี โดยในปี 2550 มูลค่า GDP per capita (PPP) ของนอร์เวย์สูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก
และในปัจจุบันนอร์เวย์มีประชากรประมาณ 5.4 ล้านคน เป็นที่รู้จักในด้านเป็นประเทศที่มีมาตรฐานการครองชีพ และรายได้ที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอันเป็นผลมาจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และอุตสาหกรรมประมง ระดับ GDP per capita อยู่ที่ 99,270 เหรียญสหรัฐ/คน/ปี (IMF, 2023)
ภาคการค้าปลีกนอร์เวย์เป็นการผสมผสานระหว่างผู้ค้าปลีกในประเทศ และต่างประเทศ และระดับรายได้สูงสะท้อนให้เห็นถึงการเน้นที่ระดับคุณภาพของสินค้า และบริการที่อยู่ในระดับสูง
• ห้างสรรพสินค้า
นอร์เวย์มีห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง รวมทั้งห้างสรรพสินค้าระดับท้องถิ่นที่มีสินค้าให้เลือกมากมาย ห้างสรรพสินค้าที่สำคัญในกรุงออสโล ได้แก่
• Oslo City – ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงออสโล เป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของนอร์เวย์ มีสินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และร้านอาหารให้เลือกมากมาย รวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตของชำ
• Byporten – ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ตั้งอยู่กับ Oslo central station โดยมีขนาดเล็กกว่า Oslo City เล็กน้อย
• Steen & Strøm – ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ ณ กรุงออสโล เน้นการจำหน่ายสินค้าแฟชั่นระดับไฮเอนด์และแบรนด์หรู
• Paleet – ศูนย์การค้าสุดหรูในกรุงออสโลซึ่ง มีร้านบูติกดีไซเนอร์และร้านอาหารระดับบน
• Glasmagasinet – ศูนย์การค้าที่เน้นสินค้าของใช้ในบ้านจากดีไซเนอร์ รวมทั้งมีพื้นที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่น และเครื่องสำอาง
โดยรวมแล้ว กรุงออสโลมีแบรนด์จากต่างประเทศมากมาย ตั้งแต่แบรนด์ดัง (high street) ไปจนถึง แบรนด์หรู รวมถึงร้านค้าที่จำหน่ายเสื้อผ้าตามฤดูกาล และชุดกีฬาอันเนื่องมาจากปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน รวมทั้งนอร์เวย์ยังมีชื่อเสียงด้านกีฬากลางแจ้ง
กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้านเรือนสามารถพบเห็นได้ในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกทั่วไป เช่น Glasmagasinet, Illums Bolighus, Norwegian Designs, Ikea และ Søstrene Grene นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งภายในและเครื่องครัวในท้องถิ่น เช่น Kitch’n (อยู่ภายใต้ Homeco), Tilbords, Cervera และ HomeBrands
ผลิตภัณฑ์ที่มีในตลาดนอร์เวย์สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพ ความทนทาน และความเรียบง่าย ในขณะที่ฉลากข้อมูลผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่จริยธรรม ความยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
• ร้านค้าปลีกของชำ
ดังเช่นเพื่อนบ้านกลุ่มประเทศนอร์ดิกอื่นๆ อุตสาหกรรมค้าปลีกของชำนอร์เวย์มีผู้เล่นรายใหญ่เพียง 3 รายเช่นกัน ได้แก่ (1) Norgesgruppen (ร้านค้าปลีกในเครือ ได้แก่ Kiwi, Meny, Spar, Eurospar และ Joker) Coop (Estra, Obs!, Coop Mega, Coop Prix และ Coop Marked) และ Rema 1000 โดยมีรูปแบบร้านค้าปลีกทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้า discount stores ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ผลิตภัณฑ์มีหลากหลาย ตั้งแต่เนื้อสัตว์ อาหารทะเล และผักสด
ข้อมูลอ้างอิง
https://hmn.wiki/th/Economy_of_Norway
https://dric.nrct.go.th › direct_download › nam…
https://www.ditp.go.th/post/150077
ที่มารูปภาพ
https://thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=780
งานเขียนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา
751309 Macro Economic 2
ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร. ณพล หงสกุลวสุ
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานชิ้นนี้ เขียนโดย
นางสาว ชาริณี ไชยยัง 651610088