
Norway: Is It The Perfect Economy?
นอร์เวย์เป็นประเทศมักจะถูกใช้เป็นตัวแทนของระบบเศรษฐกิจ ที่ผสมผสานระหว่างสังคมนิยมกับทุนนิยม อยู่บ่อยครั้ง ประเทศนอร์เวย์มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 81,995 ดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มี GDP สูงที่สุดในโลก รองจาก สวิตเซอร์แลนด์และกลุ่มประเทศจำลองบางกลุ่ม ประเทศนอร์เวย์มีส่วนเกินทางการค้าที่แข็งแกร่ง โดยมีการส่งออก 106,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้ามูลค่า 84,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอายุขัยเฉลี่ยของประชากรสูงที่สุดอยู่ที่ 81.8 ปี ส่วนใหญ่แรงงานมีทักษะสูง เนื่องจากมีสัดส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยสูงที่สุดคิดเป็น 42% จากทุกประเทศทั่วโลก และอัตราการว่างต่ำมากมีเพียง 0.41% นอร์เวย์จึงเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นสถานที่ที่ทำธุรกิจง่าย สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือนอร์เวย์ประสบความสำเร็จ และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก หลังจากหักภาษีแล้วมีประชากรเพียงไม่กี่คนจากกลุ่มล่างสุด คิดเป็น 20% ของผู้มีรายได้ในนอร์เวย์ ก็ยังคงมีรายได้โดยเฉลี่ยถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนผู้มีรายได้ 20% แรก ถึงแม้ตอนนี้อาจจะไม่ได้มีความเท่าเทียมที่สมบูรณ์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งมีผู้มีรายได้สูงสุด 1 ใน 5 อันดับแรกที่มีรายได้ถึง 10 เท่า ของค่าเฉลี่ย 1 ใน 5 จากอันดับท้าย แต่นอร์เวย์ก็มีการคุ้มครองแรงงานยอดเยี่ยม […]
นอร์เวย์เป็นประเทศมักจะถูกใช้เป็นตัวแทนของระบบเศรษฐกิจ ที่ผสมผสานระหว่างสังคมนิยมกับทุนนิยม อยู่บ่อยครั้ง ประเทศนอร์เวย์มี GDP ต่อหัวอยู่ที่ 81,995 ดอลลาร์ และเป็นหนึ่งในประเทศที่มี GDP สูงที่สุดในโลก รองจาก สวิตเซอร์แลนด์และกลุ่มประเทศจำลองบางกลุ่ม ประเทศนอร์เวย์มีส่วนเกินทางการค้าที่แข็งแกร่ง โดยมีการส่งออก 106,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้ามูลค่า 84,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอายุขัยเฉลี่ยของประชากรสูงที่สุดอยู่ที่ 81.8 ปี ส่วนใหญ่แรงงานมีทักษะสูง เนื่องจากมีสัดส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยสูงที่สุดคิดเป็น 42% จากทุกประเทศทั่วโลก และอัตราการว่างต่ำมากมีเพียง 0.41% นอร์เวย์จึงเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นสถานที่ที่ทำธุรกิจง่าย
สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือนอร์เวย์ประสบความสำเร็จ และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก หลังจากหักภาษีแล้วมีประชากรเพียงไม่กี่คนจากกลุ่มล่างสุด คิดเป็น 20% ของผู้มีรายได้ในนอร์เวย์ ก็ยังคงมีรายได้โดยเฉลี่ยถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนผู้มีรายได้ 20% แรก ถึงแม้ตอนนี้อาจจะไม่ได้มีความเท่าเทียมที่สมบูรณ์ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งมีผู้มีรายได้สูงสุด 1 ใน 5 อันดับแรกที่มีรายได้ถึง 10 เท่า ของค่าเฉลี่ย 1 ใน 5 จากอันดับท้าย แต่นอร์เวย์ก็มีการคุ้มครองแรงงานยอดเยี่ยม ซึ่งหมายความว่าปัญหา เช่น การทำงานที่มีชั่วโมงทำงานมากเกินไป และผู้คนที่ต้องการงานเสริมเพื่อหาเงินเพิ่มนั้นมีน้อยมาก ในความเป็นจริง ดัชนีชีวิตที่ดีขึ้นของ OECD ตั้งข้อสังเกตว่ามีเพียง 3% ของพนักงานที่ทำงานเป็นเวลานาน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ 11% หรือค่าเฉลี่ยของชาวอเมริกันที่ 33% สิ่งนี้ส่งผลให้ชาวนอร์เวย์เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก แม้ว่าประเทศของพวกเขาจะหนาวมากก็ตาม
นอร์เวย์ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่แรก ในช่วงปี 1960 นอร์เวย์เป็นประเทศที่ทำการประมงเป็นหลัก โดยมีขนาด GDP ใกล้เคียงกับประเทศด้อยพัฒนา เช่น บังกลาเทศหรือไนจีเรีย และประชากรของนอร์เวย์ยังมีจำนวนน้อยกว่าประเทศเหล่านี้มาก ชาวนอร์เวย์โดยเฉลี่ยในสมัยนั้นก็มีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงกับคนในสเปนหรือกรีซ แต่นอร์เวย์ในช่วงปี 1960 ก็ยังห่างไกลจากความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของนอร์เวย์เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปี 1963 เมื่อรัฐบาลนอร์เวย์อ้างสิทธิอธิปไตย เหนือทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของทะเลเหนือ เมื่อรัฐบาลบอกว่าส่วนนี้ของมหาสมุทรเป็นของนอร์เวย์แล้ว ถ้าบังเอิญเจอน้ำมันที่นี่ ก็ต้องเป็นของนอร์เวย์ด้วย และหกปีต่อมา ในปี 1969 เรือลำหนึ่งชื่อ Ocean Viking ได้ค้นพบน้ำมันในทะเลเหนือจากนั้นการผลิตน้ำมันก็เริ่มขึ้น และทำให้ในช่วงปี 1970 นอร์เวย์ผลิตน้ำมันต่อหัวได้มากกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ถึงแม้ปัจจุบันนี้จะไม่ได้เป็นที่หนึ่งแล้ว แต่ก็ตามหลังเพียง คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบียเท่านั้น
นอร์เวย์เริ่มร่ำรวยจากน้ำมันก็จริง แต่โชคดีที่รัฐบาลระมัดระวังอย่างมากกับรายได้จากทรัพยากรที่มีจำกัด จากการค้นพบน้ำมันทำให้ GDP ของนอร์เวย์เติบโตมากกว่า 5 เท่าในปี 1970 เพิ่มขึ้นจาก 12 พันล้านดอลลาร์ เป็น 65 พันล้านดอลลาร์ และความมั่งคั่งที่เพิ่งค้นพบนี้ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทเอกชน แต่เป็นบริษัทที่บริหารโดยสาธารณะที่ชื่อว่า Statoil ซึ่งหมายความว่าผลกำไรจากการขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไม่ได้เข้ากระเป๋าของผู้ถือหุ้นเอกชน แต่ส่งตรงถึงรัฐบาล สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลนอร์เวย์ร่ำรวยมหาศาล หมายความว่ารัฐสามารถใช้จ่ายสาธารณะได้อย่างอิสระ เพื่อสร้างเมืองที่สวยงามและโครงสร้างพื้นฐาน ในขณะเดียวกันก็ลดภาษีให้กับประชาชนด้วย แม้ว่าแนวทางนี้จะได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ประชาชน เพราะในระยะสั้นหมายถึงภาษีที่ลดลงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นในปัจจุบันภาษีรายได้และภาษีภาคธุรกิจในนอร์เวย์ ก็ยังเป็นหนึ่งในภาษีที่สูงที่สุดในโลก
เป็นโชคดีของนอร์เวย์ที่ค้นพบน้ำมัน ส่วนโชคชั้นสองของนอร์เวย์คือรัฐบาลมองการณ์ไกล และตระหนักว่าทรัพยากรน้ำมันไม่ได้คงอยู่ตลอดไป ประชาชนของนอร์เวย์เองก็จะไม่พอใจเมื่อน้ำมันหมดไป แล้วประชาชนต้องกลับไปตกปลาเหมือนเดิม รัฐบาลจึงนำเงินไปลงทุนกับกองทุนความมั่งคั่งอธิปไตย ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนความมั่งคั่งอธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่า 1.002 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าบริษัทการลงทุนของรัฐบาลจีน และกองทุนนี้เป็นของประชาชนนอร์เวย์ เหตุผลก็คือน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ เป็นทรัพย์สินของชาวนอร์เวย์และทุกคนควรได้รับผลประโยชน์จากการขายทรัพยากรเหล่านี้ นั่นก็หมายความว่าพลเมืองนอร์เวย์ทุกคนทั้งชายและหญิง มีเงินลงทุนประมาณ 200,000 เหรียญในกองทุนขนาดใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ประชาชนไม่สามารถนำเงินนี้ไปใช้จ่ายตามใจได้ แม้แต่รัฐบาลนอร์เวย์เองก็ใช้เพียงกําไรจากการลงทุนเหล่านี้ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ เช่น การศึกษาซึ่งก็เป็นที่มาว่าทําไมมีแรงงานจึงมีทักษะมาก รวมถึงระบบสวัสดิการที่แข็งแกร่ง โครงสร้างพื้นฐานของรัฐ และการลงทุนซ้ำในกองทุนเอง
ในปี 2017 กองทุนนี้สร้างรายได้ถึง 131 พันล้านดอลลาร์ กองทุนนี้มีการลงทุนที่ลากหลายมาก ประกอบด้วยหุ้น พันธบัตร เงินสด และสินค้าโภคภัณฑ์ สิ่งที่กองทุนนี้ลงทุนไม่น่าสนใจเท่ากับสิ่งที่กองทุนนี้ไม่ได้ลงทุน รัฐบาลนอร์เวย์ได้จัดตั้งสภาจริยธรรม ที่ดูแลการตัดสินใจลงทุนของกองทุนทั้งหมด ซึ่งจะไม่ลงทุนกับ การผลิตอาวุธ บริษัทยาสูบและแอลกอฮอล์ บริษัทที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง หรือบริษัทที่ละเมิดสิทธิคนงานและกฎหมายแรงงาน นอกจากนี้กองทุนยังถูกห้ามไม่ให้ลงทุนในบริษัทพลังงานฟอสซิล เพื่อกระจายแหล่งเงินทุนของพวกเขา ซึ่งหมายความว่าการลงทุนทั้งหมดของกองทุนนี้ อยู่ในหลักทรัพย์และสินค้าต่างประเทศ ในปัจจุบันแม้ว่าอำนาจทางการเมืองมหาศาลจะทำให้นอร์เวย์มีอิทธิพลต่อบริษัทต่างชาติ แต่ว่าผลการดำเนินงานของกองทุนก็ไม่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของนอร์เวย์ กองทุนนี้ถือเป็นสิ่งที่รอบคอบและยอดเยี่ยมของรัฐบาล ประชาชนของนอร์เวย์จึงเหมือนกับคนที่ถูกลอตเตอรี มีงานประจำ และนำเงินจากลอตเตอรีไปลงทุนในพอร์ตหุ้น
ไม่ว่านอร์เวย์จะโชคดีแค่ไหน แต่ก็มีปัญหาเศรษฐกิจบางอย่าง ประการแรกคือเมื่อเทียบกับค่าแรงแล้วก็ยังมีค่าครองชีพที่สูงจนเกินไป เมื่อพิจารณาจากภาษีที่สูงมาก รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของคนงานในนอร์เวย์อยู่ที่ประมาณ 3,200 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนงานในสหรัฐฯที่ 2,730 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ถึงจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่สหรัฐอเมริการาคาของอาหารในร้านอาหารระดับกลางจะอยู่ที่ประมาณ 50 ดอลลาร์ และในนอร์เวย์ราคาประมาณ 92 ดอลลาร์ ค่าสาธารณูปโภคต่อเดือนในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ประมาณ 130 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นอร์เวย์อยู่ที่ 176 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ชาวนอร์เวย์ก็มีความเห็นว่าพวกเขายินดีที่จะจ่ายภาษีและจ่ายค่าครองชีพที่สูง เพราะในทางกลับกันพวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรง
สุดท้ายแล้ว ที่นอร์เวย์ก็ไม่มีใครต้องล้มละลายเพราะค่ารักษาพยาบาล ไม่มีใครต้องกังวลเกี่ยวกับหนี้เพื่อการศึกษา และพวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะตกงานและไม่มีที่อยู่อาศัย ดังนั้นคำถามที่ว่านอร์เวย์มีเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ จริงหรือไม่ และคำตอบจะจริงหรือไม่จริง นอร์เวย์กก็ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของระบบเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบอยู่ดี
งานเขียนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา
751309 Macro Economic 2
ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร. ณพล หงสกุลวสุ
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานชิ้นนี้ เขียนโดย วิชชา เครือตา 651610403