
OBAMA Care
OBAMA Care หรือ Patient Protection and Affordable Care Act (PPACA) หรือ Affordable Care Act (ACA) เป็นกฎหมายประกันสุขภาพที่ประกาศใช้ในปี 2010 มีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิของผู้ป่วยชาวอเมริกัน ช่วยจัดหาประกันสุขภาพราคาไม่แพงให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ไม่ถูกบังคับให้ทำหากเบี้ยประกันภัยสูงเกินงบประมาณเเละเพื่อให้ชาวอเมริกันซื้อประกันสุขภาพได้ รวมถึงการได้รับการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึง ในราคาย่อมเยา เป็นนโยบายที่สร้างขึ้นภายใต้การบริหารของบารัค โอบามา ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสแม้จะได้รับการคัดค้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย อย่างพรรครีพับลิกัน และกลุ่มหัวอนุรักษนิยม เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เข้ามาลิดรอนสิทธิ เสรีภาพในการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ อีกทั้งเหตุผลทางด้านภาษีที่ต้องจ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรวย เพื่อนำเงินมาสนับสนุนนโยบายนี้ จึงรู้สึกไม่ยุติธรรมและอาจส่งผลเสียในด้านอื่นๆตามมา เช่น การขาดแคลนเพทย์ อย่างไรก็ตาม OBAMA Care มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2010 และนโยบายหลักบังคับใช้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2014 โดย OBAMA Care ได้ขยายการเข้าถึงการประกันสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชน ผ่านเครื่องมือต่างๆ คือ เงินอุดหนุน ตลาดประกันสุขภาพใหม่ ภาษี […]
-
OBAMA Care หรือ Patient Protection and Affordable Care Act (PPACA) หรือ Affordable Care Act (ACA) เป็นกฎหมายประกันสุขภาพที่ประกาศใช้ในปี 2010 มีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิของผู้ป่วยชาวอเมริกัน ช่วยจัดหาประกันสุขภาพราคาไม่แพงให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ไม่ถูกบังคับให้ทำหากเบี้ยประกันภัยสูงเกินงบประมาณเเละเพื่อให้ชาวอเมริกันซื้อประกันสุขภาพได้ รวมถึงการได้รับการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึง ในราคาย่อมเยา เป็นนโยบายที่สร้างขึ้นภายใต้การบริหารของบารัค โอบามา ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสแม้จะได้รับการคัดค้านจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย อย่างพรรครีพับลิกัน และกลุ่มหัวอนุรักษนิยม เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เข้ามาลิดรอนสิทธิ เสรีภาพในการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ อีกทั้งเหตุผลทางด้านภาษีที่ต้องจ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรวย เพื่อนำเงินมาสนับสนุนนโยบายนี้ จึงรู้สึกไม่ยุติธรรมและอาจส่งผลเสียในด้านอื่นๆตามมา เช่น การขาดแคลนเพทย์
-
อย่างไรก็ตาม OBAMA Care มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2010 และนโยบายหลักบังคับใช้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2014 โดย OBAMA Care ได้ขยายการเข้าถึงการประกันสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชน ผ่านเครื่องมือต่างๆ คือ เงินอุดหนุน ตลาดประกันสุขภาพใหม่ ภาษี เป็นต้น สาระสำคัญของกฎหมาย ตัวอย่างเช่น 1.บังคับให้คนอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพต้องซื้อประกันสุขภาพ มิเช่นนั้นจะถูกเก็บภาษี (Individual Mandate) 2.บริษัทประกันสุขภาพไม่สามารถปฏิเสธการรับประกันคนที่ป่วยเป็นโรคเดิมอยู่ก่อน (Pre-existing conditions) และห้ามมิให้บริษัทประกันสุขภาพคิดเบี้ยประกันของผู้หญิงสูงกว่าของผู้ชาย 3.บังคับให้นายจ้างทุกคนต้องซื้อประกันสุขภาพให้ลูกจ้างประจำทุกคน มิเช่นนั้นจะต้องเสียภาษี (Employer Mandate) 4.ครอบคลุมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Care) เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี ฉีดวัคซีนป้องกันโรค โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 5.มีการจัดตั้งตลาดประกันสุขภาพใหม่ (Health Insurance Marketplaces) สำหรับแต่ละรัฐ เพื่อให้บริษัทประกันต่างๆ เข้ามาแข่งขันกัน มีการให้คำแนะนำและจัดเตรียมรูปแบบประกันสุขภาพที่หลากหลายให้ประชาชนได้เลือกซื้อตรงตามความต้องการและเหมาะสมกับงบประมาณ เป็นต้น
-
OBAMA Care ช่วยให้คนที่ไม่ได้รับประกันสุขภาพจากที่ทำงานหรือมีปัญหาทางการเงินหรือมีโรคเรื้อรังสามารถได้รับประกันสุขภาพได้ โดยคนที่มีรายได้ในครัวเรือนอยู่ช่วง 100%-400% ของขั้นต่ำที่รัฐกำหนดว่าเป็นภาวะจน (federal poverty level) สำหรับครอบครัวขนาดนั้นๆ ในปีนั้นๆ ซึ่งหากอยู่ในช่วงรายได้นี้สามารถมีสิทธิ์รับเครดิตภาษีเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพตามนโยบาย ACA และทำให้สามารถได้รับการรักษาและค่าใช้จ่ายสำหรับยาในราคาที่ต่ำลง อย่างไรก็ตามรัฐแคลิฟอร์เนีย ขยายสิทธิในการได้รับเครดิตภาษีให้กับบุคคลที่มีรายได้สูงสุดถึง 600% ของระดับภาวะจนของรัฐ (federal poverty level) กล่าวคือ คนที่มีรายได้สูงกว่าที่รัฐกำหนดในนโยบาย ACA หรือ OBAMA Care มีสิทธิ์รับเครดิตภาษีเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ อีกทั้งรัฐส่วนใหญ่ยังขยายโครงการประกันสุขภาพ (Medicaid) ส่งผลให้มีผู้มีสิทธิ์รับประกันสุขภาพราคาประหยัดมากขึ้นนั่นเอง
-
สำหรับคุณสมบัติ ผู้ที่สามารถได้รับสิทธิประโยชน์ OBAMA Care คือ อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นพลเมืองสหรัฐฯ หรือสัญชาติ และไม่ติดคุก ซึ่งสามารถได้รับ OBAMA Care โดยสมัครผ่านได้หลายช่องทาง ตัวอย่างเช่น ทางออลไลน์ ทางโทรศัพท์ ทางไปรษณีย์ หรือค้นหาตัวแทนหรือนายหน้า
-
แผน ACA นี้จะต้องครอบคลุมประโยชน์ด้านสุขภาพที่สำคัญ เช่น บริการผู้ป่วยนอก/ผู้ป่วยใน, บริการฉุกเฉิน, การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, บริการห้องปฏิบัติ, การคลอดบุตรและการดูแลทารกแรกเกิด, บริการป้องกันและดูแลสุขภาพและการจัดการโรคเรื้อรัง จากข้อกำหนดเหล่านี้ บริษัทประกันสุขภาพต้องยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ทั้งหมด ไม่สามารถปฏิเสธและเรียกเก็บเงินเพิ่มได้ นอกจากนี้การกำหนดค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับอายุผู้เอาประกัน โดยค่าเบี้ยเริ่มต้นที่ต้องจ่ายจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น อีกทั้งกฎหมายด้านสุขภาพยังทำให้ผู้ปกครองสามารถดูแลบุตรตามแผนประกันสุขภาพของตน จนกระทั่งบุตรอายุครบ 26 ปี ไม่ว่าบุตรจะอยู่กับครอบครัวหรือแต่งงานแล้วก็ตาม
-
กล่าวโดยสรุปคือ OBAMA Care มีข้อดีคือ สามารถตรวจสอบแผนประกันสุขภาพในพื้นที่ของผู้ที่ได้รับสิทธิและเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและความคุ้มครองได้ในที่เดียว อีกทั้ง ACA เป็นแผนประกันสุขภาพเพียงแผนเดียวที่ให้เครดิตภาษีระดับพรีเมียมและเงินอุดหนุนประหยัดต้นทุนตามรายได้และขนาดครัวเรือนซึ่งสามารถลดต้นทุนได้ รวมถึงการได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมในการได้รับการรักษาทางพยาบาล และบริษัทประกันสุขภาพไม่สามารถปฏิเสธหรือเรียกเก็บเงินในอัตราที่สูงเกินกว่ากำหนดตามเงื่อนไข นอกจากนี้ไม่ต้องกังวลว่าแผนประกันสุขภาพจะหยุดคุ้มครองหากเพิ่มค่ารักษาพยาบาล ในทางกลับกันข้อเสีย คือ อาจมีตัวเลือกแผนประกันสุขภาพจำกัด ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่อาศัยอยู่ และACA บางแผนกำหนดให้ต้องได้รับการดูแลจากผู้ให้บริการในเครือข่ายเท่านั้น เป็นปัญหาได้หากสมัครแผนกับเครือข่ายผู้ให้บริการขนาดเล็กในพื้นที่ของผู้ที่ได้รับสิทธิ เป็นต้น อย่างไรก็ตามภาครัฐได้ให้ความสำคัญในเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพประชาชนมาก ดังนั้นประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนมากจึงให้การสนับสนุนทางนโยบายประกันสุขภาพเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงและใช้บริการทางสุขภาพขั้นพื้นฐานได้ นั่นเอง
อ้างอิง : https://mgronline.com/mutualfund/detail/9570000002841
https://www.forbes.com/advisor/health-insurance/what-is-obamacare/
รูปจาก :
งานเขียนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา
751309 Macro Economic 2
ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร. ณพล หงสกุลวสุ
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานชิ้นนี้ เขียนโดย ณัชชา เกตุอินทร์ 651610107