Requiem for a dream (2003) สุขจากเสพ : วิเคราะห์ Post-classical cinema ในภาพยนตร์

Requiem for a dream (2003) สุขจากเสพ : วิเคราะห์ Post-classical cinema ในภาพยนตร์

เม็ดยาสีม่วงถูกโยนเข้าปาก ผงสีขาวถูกเทลงบนโต๊ะก่อนถูกดูดขึ้นไปในม้วนธนบัตร รูม่านตาขยายขึ้นทันที เซลล์ภายในร่างกายเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไฟแช็กถูกจุดขึ้น ควันค่อยๆออกมาจากปาก ภาพกระบวนการการเสพยาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกภายในระยะเวลาเพียง 2 นาทีก่อนที่จะตัดภาพไปหาตัวละครที่กำลังบิดคลายตัวอย่างสบายใจ ส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้รับรู้ถึงอาการสุขหลังเสพ แต่เป็นที่ทราบกันดีว่ายาเสพติดนั้นไม่เคยให้คุณกับผู้ที่ได้ลอง เพราะฉะนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงพาเราดำดิ่งไปสู่ผลของความเลวร้ายจากการเสพยาในแบบที่ไม่เคยได้พบมาก่อน

*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเฮนรี่ (Jared Leto) หนุ่มวัยรุ่นผู้มีความใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตกับแฟนสาวและทำให้แม่ภาคภูมิใจ มาเรียน (Jenifer Connelly) แฟนของเฮนรี่ซึ่งเป็นลูกคนรวยและมีความใฝ่ฝันจะได้เป็นดีไซเนอร์ ไทรอน (Marlon Wayans) เพื่อนสนิทของเฮนรี่ที่ก็ใฝ่ฝันที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเช่นเดียวกัน พวกเขาตัดสินใจร่วมกันที่จะกลายเป็นผู้ขายยาเสพติดหลังจากได้ดื่มด่ำรสชาติความสุขจากมัน เส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินนั้น ในตอนแรกได้สร้างความพึงพอใจให้พวกเขาเป็นอย่างมาก แต่แล้วโทษของยาเสพติดก็แผลงฤทธิ์ ชีวิตกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อไทรอนถูกจับ เฮนรี่ผู้หวังดีต่อเพื่อนจึงใช้เงินที่หามาได้จากการขายยามาประกันตัวไทรอนจนหมด ฝันร้ายจึงเริ่มต้นขึ้นเมื่อเฮนรี่ไม่สามารถดีลยาได้ เขาจึงให้มาเรียนขายตัวเพื่อช่วยหาเงิน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากทำแต่เพราะรักเฮนรี่จึงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ ในขณะที่ตนและไทรอนพยายามหาแหล่งซื้อยาที่ใหม่ เฮนรี่มีปัญหาที่แขนจากการใช้ยาเสพติดเป็นเวลานานต้องเข้าโรงพยาบาลทำให้ความแตก ท้ายสุดเฮนรี่ต้องถูกตัดแขนเนื่องจากแขนติดเชื้อจากเข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด ส่วนไทรอนนั้นเข้ารับการบำบัดและถูกเหยียดจากผู้คุมอยู่ทุกวัน

            ต่างจากเรื่องราวของคนทั้งสามที่ตกเป็นทาสของยาเสพติดอย่างเต็มใจ ซาร่าห์ (Ellen Burstyn) แม่ของเฮนรี่นั้นมีเส้นทางชีวิตคนละแบบ เธอมีความใฝ่ฝันว่าจะได้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการทีวีโชว์เจ้าหนึ่ง แต่เมื่อร่างกายในวัยชราไม่เอื้ออำนวยกับการลดน้ำหนักได้อย่างทันที เธอจึงหันมาพึ่งยาลดน้ำหนักของแพทย์ อาจเป็นเพราะความอับจนในโชคชะตา แพทย์ที่ดูแลรักษาเธอไม่ได้ใส่ใจต่อการรักษามากนัก ปล่อยให้ซาร่าห์ทานยาเกินขนาด ถึงแม้ว่าร่างกายและจิตใจของเธอนั้นจะไม่สามารถรับมันไหวเธอก็ยังคงรับยาต่อไป ซาร่าห์กลายเป็นคนติดยาไปในที่สุดและมันก็ได้ทำลายความฝันรวมถึงสติที่เธอมี

เส้นทางชีวิตที่ต่างกันทำให้พวกเขามีความใฝ่ฝันที่หลากหลาย แต่สิ่งที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันนั้นมีความเหมือนคือพวกเขาเป็น’ทาสของยาเสพติด’ ความสุขกายสบายใจที่พวกเขาได้รับจากการเสพยานั้นท้ายที่สุดแล้วได้กลายเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนพวกเขาไปทั้งชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวต่างมุมมองของคนทั้ง 4 ที่เผชิญชะตาคล้ายกัน การเล่าเรื่องเช่นนี้เป็นหนึ่งในลักษณะของการเล่าเรื่องแบบ Post-classical cinema ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะมีตัวละครที่หลากหลาย แต่มีตัวละครหลักเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นที่เชื่อมโยงตัวละครอื่น ๆ เข้าด้วยกัน

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ตัวละครหลักคือเฮนรี่ ผู้เป็นทั้งลูก แฟน และเพื่อนสนิทของเพื่อน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญเหมือน ๆ กันคือความเลวร้ายจากยาเสพติด ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์จากการชมภาพยนตร์แล้ว ก็จะพบว่าตัวละครแต่ตัวมีเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทุกคนมีความใฝ่ฝันเป็นของตัวเอง ถึงกระนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ยังมีความเหมือนกันคือไม่สามารถที่จะทำตามความฝันของตนเองได้

นอกจากองค์ประกอบทางด้านการเล่าเรื่องที่ตัวละครหลักสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ โดยมีสิ่งหนึ่งเชื่อมโยงกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เด่นชัดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีการเล่าเรื่องตามลักษณะของ Post-classical cinema คือผู้กำกับได้มีการนำเอาสื่ออื่น เช่น รูปและเสียงเข้ามาช่วยเสริมการรับรู้ให้กับผู้ชม เราจะได้รับรู้ถึงความหลอนของการติดยาเสพติดแบบสมจริงผ่านหน้าจอ โดย Darren Aronofsky ผู้กำกับ ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อแบบ Fast cutting หรือการเอาวิดีโอที่มีความเกี่ยวข้องกับ’การเสพยาเสพติด’ มาอัดเรียงกันแบบรัว ๆ โดยปกติภาพยนตร์ทั่วไปมีการตัดต่ออยู่ที่ประมาณ 600-700 คัท แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้มากถึงประมาณ 2,000 คัท เยอะกว่าภาพยนตร์ปกติทั่วไปเท่าตัวแต่ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเอกลักษณ์ในการตัดต่อด้วยเช่นกัน

ความรู้สึกที่ได้รับจากการใช้เทคนิคดังกล่าวคือความรู้สึกเดียวกันกับการเสพยา มันเป็นความรู้สึกไม่คงที่ วุ่นวายและสับสน ยิ่งมีการใส่เสียงเอฟเฟคอย่างเพลงฮิปฮอป (ผู้กำกับเรียกการตัดต่อแบบนี้ว่า Hip-hop montages) เสียงดูดกระดาษ เสียงมีดกระทบกันหรือเสียงไฟแช็กที่ถูกจุดขึ้นอย่างเป็นจังหวะทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ที่หนักหน่วงมากขึ้นยามรับชม ราวกับว่าเราไปร่วมประสบการณ์กับพวกเขาด้วยโดยไม่ต้องเห็นถึงการกระทำที่โจ่งแจ้งเลยด้วยซ้ำ การตัดต่อเช่นนี้มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง โดยจะขอยกตัวอย่างฉากหนึ่งที่ช่วยเสริมอารมณ์อย่างชัดเจน  เช่น ฉากที่ซาร่าห์ แม่ของเฮนรี่ที่กำลังทานยาตามที่หมอสั่ง ในภาพยนตร์ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเธอป้อนเม็ดยาเข้าปากแบบธรรมดาแต่เป็นการนำช็อตหลาย ๆ ช็อตที่สื่อถึงองค์ประกอบของการเสพยามาเรียงร้อยต่อกัน (montage) ก่อนจะซ้อนเป็นภาพเธอจัดของปัดฝุ่นข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านด้วยความเร็วแบบเร่งสปีด ซาร่าห์มีความกระฉับกระเฉงในการเดินหรือแม้แต่การก้ม แทบจะรับรู้ได้ถึงพละกำลังที่มากกว่าคนวัยชราปกติจะพึงมี เมื่อเราเห็นตัวละครซาร่าห์กระปรี้กะเปร่าก็ทำให้ฉากนั้นมีความฮึกเหิมไม่เหี่ยวเฉาเหมือนฉากก่อนหน้าที่เธอเหงื่อตกเพราะขาดยา นี่เป็นผลดีข้อหนึ่งของการตัดต่อแบบนี้

ลักษณะการตัดต่อแบบพิเศษที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำมาใช้ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องของการทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับตัวละครมากขึ้น แต่ยังช่วยในการเล่าเรื่องให้เข้าใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน ผู้กำกับได้สร้างการรับรู้แบบใหม่ซึ่งทำให้เราเห็นมุมมองที่แปลกออกไปแต่ยังคงทำให้เราเข้าใจบริบทของหนังเหมือนเดิม ยกตัวอย่างเช่น การที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการใช้ split screen หรือการแบ่งหน้าจอออกเป็น 2 จอในหลายฉากเพื่อให้เห็นถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ดำเนินไปพร้อมกัน เป็นรูปแบบการดำเนินเรื่องแบบใหม่ที่น่าสนใจและทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้โดยง่าย เช่น ฉากเริ่มแรกของเรื่องที่เฮนรี่พยายามจะเอาโทรทัศน์ของแม่ไปปล่อยจำนำ เขาพยายามเรียกให้แม่ออกมาคุยขณะที่ตัวของแม่นั้นหลบซ่อนหน้าในตู้อับ เราเข้าใจสภาวะของตัวละครทั้งคู่ว่าซาร่าห์มีความรู้สึกกลัว ไม่กล้าออกมาเจอ และความรู้สึกของลูกที่หงุดหงิดโมโหด้วยฉากเพียงฉากเดียว เป็นการย่นเวลาและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

นอกจากการทำให้เห็นถึงสภาวะของตัวละครที่แตกต่างกันแล้ว การแบ่งหน้าจอยังสามารถใช้กับสิ่งที่ไม่ใช่คนเพื่อบ่งบอกถึงความปรารถนาหรือความพยายามบางอย่างด้วยเช่นกัน เช่น ซีนที่แม่นั่งเหงื่อตกด้วยความหิวโหยถูกแบ่งออกเป็น 2 หน้าจอระหว่างตัวของเธอที่มีสายตาล่อกแล่กไปในทิศทางที่คาดว่าน่าจะเป็นตู้เย็นกับภาพตู้เย็นที่ใช้เทคนิคการถ่ายให้เป็นภาพคลื่นความร้อนเพื่อสื่อถึงอาการ’อยากอาหาร’ การแบ่งหน้าจอทำให้เรารับรู้ได้ว่าตัวละครแม่กำลังรู้สึกอย่างไรโดยแทบไม่ต้องมีภาพอาหารหรือกริยาที่เกี่ยวกับท้องเลย

            เมื่อการเล่าเรื่องแบบ Post-classical cinema มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความรู้สึกใหม่ให้กับคนดูด้วยเทคนิคทางภาพยนตร์ที่หลากหลาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการเล่าเรื่องอย่างแท้จริงเพราะนอกจากเทคนิคการตัดต่อตามที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีการใช้มุมกล้องและเลนส์เพื่อเสริมอารมณ์ของตัวละครให้เข้มข้นสมจริง โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีการใช้มุมกล้องแบบ close-up ตลอดทั้งเรื่องเพื่อให้เห็นถึงสภาวะที่คับขันของตัวละครซึ่งสร้างความรู้สึกกดดันในการรับชมเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ในฉากที่แม่ของเฮนรี่ไปหาแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องการใช้ยา ในช่วงนั้นเธอมีอาการหลอนตามแบบฉบับคนติดยาไปแล้ว ในฉากนี้มีการใช้เลนส์ fisheye ด้วย ซึ่งเลนส์นี้มี distortion บริเวณขอบของเลนส์ค่อนข้างเยอะซึ่งให้ภาพที่มีความโค้งเว้า ภาพที่แสดงออกมาจึงเหมือนถูกจำกัดอยู่ในโลกใบเล็กอันเป็นโลกของคนติดยาเสพติดมากขึ้น ขับด้วยการแสดงของ Ellen Burstyn ที่แสดงได้อย่างดีเยี่ยม เธอแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวล กระวนกระวายสมจริงอย่างที่สุด ทำให้ฉากนี้เรารับรู้ถึงอาการของคนหลอนติดยาอย่างแท้จริง

            นอกจากเรื่องของเทคนิคทางภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีการใช้เสียงเข้ามาเพื่อเพิ่มอารมณ์ความรู้สึกให้กับผู้ชม เช่น ในช่วงสุดท้ายของภาพยนตร์ที่ซาร่าห์เริ่มมีอาการเสียสติ เสียงหลอนจากรายการทีวีโชว์ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร เรารู้สึกเหมือนซาร่าห์ที่แยกไม่ออกว่ามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นหรือเป็นเพียงความหลอนที่เกิดขึ้นจากการเสพยา และเสียง score (ดนตรีประกอบ) ที่คอยเร่งจังหวะให้เกิดความรู้สึกกดดันและอึดอัดส่งผลให้ฉากในช่วงสุดท้ายของ Requiem for the dream เป็นซีนที่น่าเวียนหัวที่สุดซีนหนึ่งในภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับยาเสพติดเลยทีเดียว

ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า Requiem for the dream เป็นภาพยนตร์ที่ใช้หลักการการเล่าเรื่องแบบ Post-classical cinema ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ด้วยเทคนิคการตัดต่อที่ต่างออกไป มีการใช้มุมและเลนส์ของกล้องมาช่วยเสริมและมีนักแสดงที่มากคุณภาพมารับบท ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ท้าทายความสามารถในการรับรู้ของผู้ชมถึงแม้ว่าจะ 21 ปีมาแล้วก็ยังคงน่าสนใจอยู่

MovieMovie ReviewRequiem for the dreamReview