The Economy of Japan
ที่มาภาพ : https://aec10news.com/contents/news/world/6178/
ที่มาภาพ : ญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ หลังจีนผ่อนมาตรการควบคุมการเดินทาง : อินโฟเควสท์ (infoquest.co.th)
ญี่ปุ่นมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยในทุกวันนี้ส่วนของโลกตะวันตกส่วนใหญ่กลัวการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แต่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่เกือบจะแซงหน้าอเมริกาในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 กลับเกิดภาวะเงินฝืดและความซบเซาขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นพยายามเป็นอย่างมากที่จะพลิกสถานการณ์นี้ โดยได้ซื้อหนี้รัฐบาลมาถึง 70% และยังกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทในญี่ปุ่นอีกด้วย
ที่มาภาพ : ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในจีน: วิกฤตพิสดาร – The 101 World World
ในปี 1980 ญี่ปุ่นยังคงเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีการเติบโต โดยเรื่องราวนี้เริ่มต้นเมื่อปี 1979 เป็นปีที่เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 สาเหตุมาจากการปฏิวัติอิหร่าน และสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่าน เพื่อช่วยเศรษฐกิจของตนเอง ญี่ปุ่นจึงตอบสนองด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้เกิดสภาวะฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งตลอดกาล แต่ท้ายที่สุดแล้วทั่วประเทศใช้เวลานานในการพัฒนาและอาจจะเริ่มต้นรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและมีประสิทธิผล ซึ่งแท้จริงแล้วญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 80 มีความโดดเด่นด้วยการลงทุนมหาศาลในด้านการวิจัยและนวัตกรรม โดยมีการใช้เทคนิคการเงินลับๆที่เรียกว่า Window Instruction โดยมีการสร้างกลยุทธ์ภาคอุตสาหกรรมที่เหมาะสม ธนาคารญี่ปุ่นได้สร้างเครดิตมากมายให้กับอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมการต่อเรือ ต่อมาสหรัฐเกรงว่าญี่ปุ่นจะแซงหน้าจนกลายเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกลัวว่าอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ของอเมริกาจะถูกทำลาย โรนัล เรแกนซึ่งเป็นประธานาธิบดีในขณะนั้นให้คำมั่นว่าจะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น และมีการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 1981 โดยอเมริกาได้จำกัดจำนวนรถยนต์ที่สามารถนำเข้าจากญี่ปุ่นทุกปี จากนั้นในปี 1983 ได้ขึ้นภาษีรถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นสูงถึง 45% เพื่อช่วยรักษารถจักรยานยนต์อย่าง Harley Davidson ในปี 1985 เป็นปีที่เรียกว่าข้อตกลงพลาซ่า ซึ่งนักการเมืองยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นเห็นพ้องกันว่าการค้าโลกไม่สมดุลและสกุลเงินดอลลาร์มีราคาที่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ของอังกฤษและเงินเยนของญี่ปุ่น ดังนั้นในข้อตกลงนี้ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นจึงมีสัญญาว่าจะขายทุนสำรองดอลลาร์จำนวนมหาศาล เพื่อทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นและเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และข้อตกลงนี้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างดี โดยค่าเงินเยนเริ่มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และในขณะที่สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงปัญหาสำหรับผู้ส่งออก ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นกลับเห็นว่าความมั่งคั่งสัมพัทธ์ของพวกเขาพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากราคาการนำเข้าที่มีราคาถูกกว่า อย่างไรก็ตามเพื่อตอบโต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อเงินเยน ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นจึงได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ผลข้างเคียงคือด้วยการกู้ยืมที่ราคาถูกนี้จึงกลายเป็นสภาวะฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศตลอดกาล แต่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นสามารถบรรเทาสภาวะฟองสบู่ได้อย่างง่ายดายด้วยการให้สินเชื่อหรือใช้เทคนิคการเงิน Window Instruction ในปี 1989 มีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดฟองสบู่แตกในที่สุด ถือเป็นจุดสูงสุดของตลาดหุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
ที่มาภาพ : ai-cio.com/news/what-if-cathie-woods-deflation-really-arrives-now-theres-an-antidote/
ในปี 1990 ญี่ปุ่นเกิดสภาวะเงินฝืด ซึ่งก่อให้เกิดความผันผวนจนระบบธนาคารจวนจะพังทลายลง เพื่อให้หลุดพ้นสภาวะนี้ธนาคารกลางจึงต้องดำเนินการอย่างเข้มงวด เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยผู้กู้ยืมให้หลุดพ้นสภาวะเงินฝืด และด้วยเหตุนี้ธนาคารกลางแห่งประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 1991 แต่เป็นการลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่วิธีนี้ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เนื่องจากสภาวะเงินฝืดนั้นได้รุนแรงมากเกินไปแล้ว โดยสิ่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นปัญหาของญี่ปุ่นเท่านั้น ญี่ปุ่นยังประสบปัญหาระหว่างธนาคารกลางและเศรษฐกิจ เมื่อมาถึงจุดนี้ธนาคารกลางแห่งประเทศญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วในการเพิ่มเงินทุนให้กับธนาคารต่างๆเพื่อที่จะให้มีการกู้ยืมอีกครั้ง แต่ผลที่ตามมาคือภาคธนาคารยังคงอยู่ในวงจรชะลอตัวลง จนมาถึงบทสรุปในช่วงของเดือนพฤศจิกายน ปี 1997 ญี่ปุ่นและเงินเยนสามารถฝ่าฟันปัญหานี้ได้ค่อนข้างดี เนื่องจากคลังสงครามขนาดใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เงินที่ได้จากการเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วในวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี 1997 เป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นเกิดฟองสบู่แตกอย่างแท้จริง หลังจาก 7 ปีที่เกิดฟองสบู่แตกญี่ปุ่นพบว่าตนเองตกอยู่ในวิกฤตการณ์ทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ โดยธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0% แล้ว เพื่อหยุดความตื่นตระหนกนี้เจ้าหน้าที่ประเทศญี่ปุ่นจึงสั่งให้ธนาคารต่างๆอนุญาตให้ลูกค้าเข้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้วิกฤตการณ์ทางการเงินของประเทศญี่ปุ่นคลี่คลายทั้งหมด โดยรวมแล้วในปี 1997-1998 สถาบันการเงินรายใหญ่ 7 แห่งเกิดความล้มเหลว จากนั้นวิกฤตการณ์ระบบธนาคารของประเทศญี่ปุ่นก็ยุติลงเมื่อสถาบันทางการเงินหลายแห่งได้รับเงินออมจากภาษี ในที่สุดสภาวะเงินฝืดก็สิ้นสุดลงและภาคธนาคารของญี่ปุ่นก็พร้อมที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของญี่ปุ่นเมื่อเข้าศตวรรษที่ 21
ที่มาภาพ : 6 Ways Procurement Can Fight Inflation – Comprara
อัตราเงินเฟ้อที่ไม่รุนแรงช่วยให้ทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลสามารถชำระหนี้ได้ ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้ผู้คนใช้จ่ายเงินแทนที่จะถือเงินไว้ในมือ ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นต้องการให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย โดยทฤษฎีมาตรฐานของอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางให้ความสำคัญคือ Phillips Curve ซึ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อกับการว่างงาน โดยหากมีการว่างงานที่ต่ำพร้อมกันหมายถึงความต้องการจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจและการผลิตไม่สามารถจ้างคนได้เพียงพอต่อความต้องการนั้น ดังนั้นทั้งค่าจ้างและต้นทุนของสินค้าทั้งหมดจึงเพิ่มขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเริ่มโครงการที่ต่อมามีชื่อว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นเน้นย้ำว่าจะหยุดโครงการทันทีเมื่อสภาวะเงินฝืดเปลี่ยนเป็นสภาวะเงินเฟ้อ แต่แม้ว่าการว่างงานจะลดลงอัตราเงินเฟ้อก็ไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีคำอธิบายที่ได้รับความนิยมประการหนึ่งคือสภาวะเงินเฟ้อได้กลายเป็นคำทำนายที่ได้ตอบสนองในตัวเองแล้ว แต่ในราวปี 2006 ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลเมื่ออัตราเงินเฟ้อเล็กน้อยกลับเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง แต่ญี่ปุ่นก็กลับเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยและสภาวะเงินฝืดอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเศรษฐกิจในคราวนี้เกิดจากปัญหาต่างประเทศ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นน้อยลง
ที่มาภาพ : Abenomics – Chandra 99
ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวญี่ปุ่นเห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในปี 2012 มีการประกาศ Abenomics ประกอบด้วยลูกศร 3 ดอก ประกอบด้วย ลูกศรดอกแรก คือ นโยบายการเงิน ลูกศรดอกที่สอง คือ นโยบายการคลัง และลูกศรดอกที่สาม คือ การปฏิรูปโครงสร้าง สำหรับการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมีประสิทธิภาพสูงในการทำให้เศรษฐกิจเย็นลง แต่การลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นยากกว่า ดังนั้นการที่จะชนะสภาวะเงินฝืดอย่างแท้จริงจำเป็นต้องมีนโยบายการเพิ่มประชากรใหม่
งานเขียนนี้
เป็นส่วนหนึ่งของวิชา 751309 Macro Economic 2
ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร. ณพล หงสกุลวสุ
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานชิ้นนี้ เขียนโดย
นาย ธนินท์รัฐ พลภัทรเศรษฐ์ 651610185